แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ไม้ล้มลุก แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ไม้ล้มลุก แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

ตาลส้านดอย

ตาลส้านดอย วงศ์ PAPILIONOIDEAE
Desmodium renifolium var. renifolium (L.) Schindl..

ชื่อสามัญ ตาลส้านดอย (เชียงใหม่) เล็บมือนาง (นครราชสีมา)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์และเกษตร ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขาเลื้อยทอดนอนไปตามพื้น (prostrate) ยาว 80-145 เซนติเมตร ลำต้นไม่มีขนมีสีเขียวถึงเขียวอ่อน เส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้น 2.5-4.5 มิลลิเมตร ใบประกอบชนิดมีใบย่อยใบเดียว (simple) ปลายใบมีรอยเว้าตื้น (emarginate) เช่นเดียวกับโคนใบ รูปร่างใบคล้ายรูปพัด ด้านกว้างของใบจะกว้างกว่าด้านยาว คือ กว้าง 3.8-6.2 เซนติเมตร ยาว 1.9-3.2 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ (entire) หน้าใบและหลังใบไม่มีขน ใบที่เจริญเติบโตเต็มที่มีสีเขียวค่อนข้างเข้มถึงเขียวเข้ม ก้านใบยาว 1.5-2.7เซนติเมตร ออกดอกที่ยอดและตาข้าง กลีบเลี้ยงสีขาวออกเหลืองอ่อนๆ กลีบดอกมีสีขาวครีม อับเรณูและเกสรเพศเมียสีเหลืองอ่อนๆ ผลเป็นฝักแบน ยาว 1.6-3.0 เซนติเมตร หักได้เป็นข้อๆ มี 2-6 ข้อ ออกดออกติดเมล็ดตลอดทั้งปี

แหล่งที่พบและเก็บรวบรวมพันธุ์ พบที่อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ (PC 353) อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น (PC 308)

คุณค่าทางอาหาร อายุ 75 – 90 วัน โปรตีน 13.5 เปอร์เซ็นต์ ฟอสฟอรัส 0.25 เปอร์เซ็นต์ โพแทสเซียม 1.77 เปอร์เซ็นต์ แคลเซียม 1.22 เปอร์เซ็นต์ ADF 29.9 เปอร์เซ็นต์ NDF 42.3 เปอร์เซ็นต์ DMD 71.9 เปอร์เซ็นต์ (โดยวิธี Nylon bag)

การใช้ประโยชน์ อาหารสัตว์ โค-กระบือ


วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

ครามขน

ชื่อสามัญ ครามขน ( เชียงใหม่ )

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์และเกษตร เป็นพืชล้มลุก (annual) ออกดอกติดฝักเมล็ดแก่ร่วงงอกใหม่ในฤดูฝนต่อไป ทรงต้นเป็นกอพุ่ม (herb) ขนาดเล็ก ปลายยอดตั้ง ความสูงของต้น 62- 68 เซนติเมตร ลำต้นสีเขียวมีขนสีน้ำตาลยาว 3-4 มิลลิเมตรปกคลุมหนาแน่น (abundant) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 12.5- 16.1 มิลลิเมตร ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ (odd pinnate) เรียงตรงข้ามกัน (opposite) ใบเป็นแบบรูปไข่กลับ (obovate) โคนใบสอบเรียว (attenuate) ปลายใบติ่งหนามสั้น (macronulate) ขนาดใบยาว 3.1- 4.96 เซนติเมตร กว้าง 1.48- 2.48 เซนติเมตร หน้าใบและหลังใบมีขนสีขาวยาวประมาณ 1 มิลลิเมตรปกคลุมหนาแน่น ใบสีเขียวนวล ผิวใบนุ่ม (tender) เส้นกลางใบ (mid rib) เล็กยาวจากโคนถึงปลายใบ เส้นกลางใบด้านหลังมีขนสีน้ำตาลยาวประมาณ 1.5 มิลลิเมตรขึ้นเรียงตามกัน เส้นใบ (vein) แตกแบบขนนก (pinnate) ขอบใบหยักแบบขนครุย (ciliate) มีขนสีขาวปนสีม่วงแดงยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร ก้านใบรวมยาว 5.2- 6.8 เซนติเมตร ก้านใบย่อยยาว 0.2-0.3 เซนติเมตรและมีขนสีน้ำตาลแดงยาวประมาณ 1-2 มิลลิเมตรคลุมอยู่หนาแน่น หูใบ (stipule) รูปแหลม (filiform) สีเขียวยาว 1-2 เซนติเมตรและมีขนขึ้นเรียงถี่ๆ ออกดอกช่วงเดือนกรกฎาคม ช่อดอกออกที่ปลายยอดและซอกใบแบบช่อกระจะ (raceme) ช่อดอกยาว 12.39- 23.35 เซนติเมตร ส่วน Head ยาว 5.11- 12.17 เซนติเมตร ดอกรูปดอกถั่วสีชมพูอมแดง มีฐานรองดอกแยกเป็น 5 แฉกและมีขนคลุม ดอกยาว 0.67- 0.95 เซนติเมตร มี 67-130 ดอกต่อช่อ ฝักรูปทรงกระบอก กลม มีขนยาว 1-2 มิลลิเมตรคลุมหนาแน่น ปลายฝักมีติ่งหนามแหลมแข็งยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร ฝักยาว 1.85- 2.01 เซนติเมตร กว้าง 0.2- 0.3 เซนติเมตร มี 76-120 ฝักต่อช่อ ฝักแก่แตกเป็นสองซีก เมล็ดสีน้ำตาลรูปกรวย

แหล่งที่พบและเก็บรวบรวมพันธุ์ พบขึ้นอยู่ทั่วไปในพื้นที่โล่ง ป่าละเมาะ ดินเหนียวปนลูกรัง ดินเหนียว เช่น เขตอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เขตอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ( LP 38 )

คุณค่าทางอาหาร ส่วนใบรวมก้านใบและยอดอ่อน อายุประมาณ 45 วันก่อนมีดอก มีค่า โปรตีน 15.95 เปอร์เซ็นต์ เยื่อใย 22.08 เปอร์เซ็นต์ ไขมัน 6.21 เปอร์เซ็นต์ เถ้า 8.90 เปอร์เซ็นต์คาร์โบไฮเดรท (NFE) 46.86 เปอร์เซ็นต์ เยื่อใยส่วน ADF 26.27 เปอร์เซ็นต์ NDF 33.18 เปอร์เซ็นต์ ลิกนิน 4.91 เปอร์เซ็นต์

การใช้ประโยชน์ ระยะก่อนออกดอกเป็นแหล่งอาหารสัตว์ตามธรรมชาติสำหรับแทะเล็มของโค กระบือ ยาพื้นบ้านอีสาน ใช้ทั้งต้น ต้มน้ำดื่ม บำรุงโลหิต สับเป็นท่อนๆวางไว้ที่ปากไหปลาร้า ป้องกันหนอนขึ้น ( จิรายุพินและคณะ , 2542)



ครามเครือ

ครามเครือ

วงศ์ LEGUMINOSAE - PAPILIONOIDEAE
Indigofera hendecaphylla Jacq.
ชื่อสามัญ ครามเครือ (เชียงใหม่) ; จ๊าผักชี (เชียงใหม่) ; โสนนก (นครสวรรค์)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์และเกษตร เป็นพืชอายุค้างปี ต้นทอดแผ่คลุมดิน (semi-prostrate) ต้นสูง 11.76-20.74 เซนติเมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 1.85-2.65 มิลลิเมตร การจัดเรียงตัวของใบแบบขนนกเรียงสลับ (alternate) รูปร่างใบย่อยแบบใบหอก (lanceolate) ขนาดเล็ก โคนใบสอบปลายใบเรียวแหลม ใบยาว 2.63-3.23 เซนติเมตร กว้าง 0.24-0.36 เซนติเมตร หลังใบมีขนปกคลุมจำนวนมากกว่าหน้าใบ สีใบเขียวเข้ม ผิวใบค่อนข้างนูนเล็กน้อย ขอบใบเรียบ (entire) หูใบแบบหนาม (spinous) สีเขียวอมม่วง ลำต้นสีเขียวอมม่วงค่อนข้างเหนียว ลำต้นและก้านใบมีขนละเอียดสั้นประมาณ 1 มิลลิเมตรคลุมอยู่ปานกลาง ออกดอกเดือน พฤษภาคม – พฤศจิกายน ช่อดอกแบบช่อกระจะ (raceme) ช่อดอกออกตามซอกใบ ช่อยาว 3.49-7.05 เซนติเมตร ช่อดอกค่อนข้างแน่น ดอกรูปดอกถั่ว สีชมพู-ส้ม มี 30-47 ดอกต่อช่อ ฝักรูปกลม ยาว 2.63-3.47 เซนติเมตร กว้าง 0.2-0.3 เซนติเมตร มี 5-14 ฝักต่อช่อ ฝักแก่ไม่แตก

แหล่งที่พบและเก็บรวบรวมพันธุ์ พบขึ้นอยู่ทั่วไปในพื้นที่ค่อนข้างโล่ง ดินทราย เช่น เขตบ้านหนองแวง อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น (PC 291)

คุณค่าทางอาหาร ต้นถั่วอายุประมาณ 45 วัน ระยะเริ่มออกดอก มีค่าโปรตีน 14.45 เปอร์เซ็นต์ เยื่อใย 25.05 เปอร์เซ็นต์ ไขมัน 1.27 เปอร์เซ็นต์ เถ้า 10.9 เปอร์เซ็นต์ คาร์โบไฮเดรท(NFE) 48.33 เปอร์เซ็นต์ เยื่อใยส่วนADF 32.44 เปอร์เซ็นต์ NDF 41.66 เปอร์เซ็นต์ ลิกนิน 8.28 เปอร์เซ็นต์

การใช้ประโยชน์ เป็นแหล่งอาหารสัตว์ตามธรรมชาติ สำหรับแทะเล็มของโค-กระบือ


วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

ก้นบึ้งเล็ก

ก้นบึ้งเล็ก

วงศ์ PAPILIONOIDEAE
Campylotropis parviflora (Kurz) Schindl. ex Gagnep.

ชื่อสามัญ ก้นบึ้งเล็ก หิ่งเม่น (เชียงใหม่) เลือดใน (ภาคกลาง)

ลักษณะทางพฤกษศาตร์และเกษตร เป็นพืชล้มลุกอายุปีเดียว ลำต้นตั้งตรง สูง 1.0 – 2.5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางลำต้น 9.5 – 12.5 มิลลิเมตร ลำต้นมีขนสั้นๆปกคลุมหนาแน่น ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับใบย่อย 3 ใบ รูปรี (elliptic) หรือรูปขอบขนาน (oblong) ใบบนสุดกว้าง 1.1 – 3.2 เซนติเมตร ยาว 3.2 - 5.0 เซนติเมตร ใบข้างกว้าง 1.2 - 2.9 เซนติเมตร ยาว 2.6 – 4.4 เซนติเมตร หน้าใบมีขนปกคลุมหนาแน่น หลังใบมีขนน้อยมาก ช่อดอกยาว 10.5 – 12.8 เซนติเมตร ออกดอกที่ปลายยอด กลีบดอกสีชมพู ผลเป็นฝักแบน ค่อนข้างกลม มี 1 เมล็ด ออกดอกมากช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม และต้นฤดูฝนพฤษภาคมถึงมิถุนายน

แหล่งที่พบและเก็บรวบรวมพันธุ์ พบในสภาพพื้นที่เป็นเขา อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ (PC 189) ซึ่งมีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 893 เมตร

การใช้ประโยชน์ ยาพื้นบ้าน ใช้รากต้มน้ำดื่ม ดับพิษร้อนถอนพิษไข้ (วงศ์สถิต และคณะ, 2543)


วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

แกลบหนู

แกลบหนู ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendrolobium lanceolatum (Dunn) Schindl.

วงศ์
: Papilionoideae


ชื่ออื่น
: แกลบหนู แกลบหูหนู แปรงหูหนู (ปราจีนบุรี) กระดูกเขียด (นครพนม) กระดูกอึ่ง (ราชบุรี บุรีรัมย์) กระดูกอึ่งใหญ่ (นครราชสีมา) อึ่งใหญ่ (กลาง ตะวันออกเฉียงเหนือ)


ลักษณะทั่วไป
: เป็นพืชล้มลุกอายุปีเดียว ลำต้นตั้งตรง สูง 1.0 – 2.5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางลำต้น 9.5 – 12.5 มิลลิเมตร ลำต้นมีขนสั้นๆปกคลุมหนาแน่น ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับใบย่อย 3 ใบ รูปรี (elliptic) หรือรูปขอบขนาน (oblong) ใบบนสุดกว้าง 1.1 – 3.2 เซนติเมตร ยาว 3.2 - 5.0 เซนติเมตร ใบข้างกว้าง 1.2 - 2.9 เซนติเมตร ยาว 2.6 – 4.4 เซนติเมตร หน้าใบมีขนปกคลุมหนาแน่น หลังใบมีขนน้อยมาก ช่อดอกยาว 10.5 – 12.8 เซนติเมตร ออกดอกที่ปลายยอด กลีบดอกสีชมพู ผลเป็นฝักแบน ค่อนข้างกลม มี 1 เมล็ด ออกดอกมากช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม และต้นฤดูฝนพฤษภาคมถึงมิถุนายน


ประโยชน์
: เป็นอาหารสัตว์ ยาพื้นบ้าน ใช้รากต้มน้ำดื่ม ดับพิษร้อนถอนพิษไข้ (วงศ์สถิต และคณะ, 2543)


จากเว็บ http://www.rspg.or.th

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

ก้นบึ้งเล็ก

ก้นบึ้งเล็ก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Campylotropis parviflora (Kurz) Schindl. ex Gagnep.

วงศ์ : Papilionoideae

ชื่ออื่น : ก้นบึ้งเล็ก หิ่งเม่น (เชียงใหม่) เลือดใน (ภาคกลาง)

ลักษณะทั่วไป : เป็นพืชล้มลุกอายุปีเดียว ลำต้นตั้งตรง สูง 1.0 – 2.5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางลำต้น 9.5 – 12.5 มิลลิเมตร ลำต้นมีขนสั้นๆปกคลุมหนาแน่น ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับใบย่อย 3 ใบ รูปรี (elliptic) หรือรูปขอบขนาน (oblong) ใบบนสุดกว้าง 1.1 – 3.2 เซนติเมตร ยาว 3.2 - 5.0 เซนติเมตร ใบข้างกว้าง 1.2 - 2.9 เซนติเมตร ยาว 2.6 – 4.4 เซนติเมตร หน้าใบมีขนปกคลุมหนาแน่น หลังใบมีขนน้อยมาก ช่อดอกยาว 10.5 – 12.8 เซนติเมตร ออกดอกที่ปลายยอด กลีบดอกสีชมพู ผลเป็นฝักแบน ค่อนข้างกลม มี 1 เมล็ด ออกดอกมากช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม และต้นฤดูฝนพฤษภาคมถึงมิถุนายน

ประโยชน์ : เป็นอาหารสัตว์ ยาพื้นบ้าน ใช้รากต้มน้ำดื่ม ดับพิษร้อนถอนพิษไข้ (วงศ์สถิต และคณะ, 2543)

จากเว็บ http://www.rspg.or.th

เกล็ดหอย

เกล็ดหอย

ชื่อวิทยาศาสตร์
: Desmodium triflorum (L.) DC.


วงศ์
: Papilionoideae
ชื่อสามัญ : flowered beggarweed

ชื่ออื่น : หญ้าเกล็ดหอย เกล็ดปลา (กรุงเทพฯ) ผักแว่นดอย (แม่ฮ่องสอน) หนู่เต๊าะโพ (กะเหรี่ยง, แม่ฮ่องสอน) หญ้าตานทราย (เชียงsใหม่, แม่ฮ่องสอน) หญ้าตานหอย (ภาคกลาง) ผักแว่นโคก (นครศรีธรรมราช)
ใหญ่ (นครราชสีมา) อึ่งใหญ่ (กลาง ตะวันออกเฉียงเหนือ)

ลักษณะทั่วไป : เป็นพืชล้มลุกทอดเลื้อยไปตามพื้นดิน สูง 4.5-12.5 เซนติเมตร ลำต้นมีขนสั้นๆละเอียดปกคลุมหนาแน่น เส้นผ่าศูนย์กลางลำต้น 0.6-1.1 มิลลิเมตร ใบประกอบแบบขนนกมีใบย่อย 3 ใบ (trifoliate) ใบคล้ายรูปหัวใจกลับ ปลายใบเว้าตื้น หน้าใบไม่มีขน หลังใบมีขนน้อยถึงน้อยมาก ลำต้นมีขนสั้นๆปกคลุมหนาแน่น ขอบใบเรียบ (entire) ออกดอกที่ปลายยอดและตามซอกใบ กลีบดอกสีม่วงสดหรือสีม่วงบานเย็น ช่อดอกยาว 0.5 - 2.5 เซนติเมตร มีดอกย่อย 2-6 ดอก ฝักคอดเป็นข้อๆ 1 - 6 ข้อ ออกดอกติดเมล็ดตลอดทั้งปี


ประโยชน์ : อาหารสัตว์ โค-กระบือ

จากเว็บ http://www.rspg.or.th

วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553

ว่านมหาหงส์

ว่านมหาหงส์

ชื่อวิทยาศาสตร์
Hedychium coronarium.

วงศ์

ZINGIBERACEAE

ชื่ออื่นๆ
ว่านกระชายเห็น

ลักษณะทั่วไป

ต้นเป็นเง้าอยู่ใต้ดิน คล้ายแง่งข่า มีลำต้นเหนือดิน เป็นกาบใบที่ซ้อนกันอยู่หลายๆ กาบ ใบมีลักษณะเป็นรูปใบพาย ปลายใบแหลม โคนใบมน พื้นใบสีเขียว ก้านใบกลม แข็ง และสั้น ออกดอกเป็นช่อตั้งขึ้นอยู่ปลายยอด มีกลิ่นหอม เมื่อดอกใกล้โรยจะมีสีแดง

การปลูก

ให้ปลูกในดินร่วนหรือดินบนทราย ชอบแดดรำไร น้ำปานกลาง ควรรดด้วยน้ำทุกเช้า–เย็น หากปลูกใส่กระถางก้นตื้น ปากกว้าง จะแตกหัวใหม่ได้รวดเร็ว

การขยายพันธุ์

โดยการแยกหน่อ

ความเป็นมงคล

มีอานุภาพด้านเมตตามหานิยม เมื่อปลูกเลี้ยงไว้จะทำให้เป็นที่เมตตาของผู้คน และผู้เลี้ยงจะได้รับโชคลาภอยู่เสมอ

จากเว็บ http://www.panmai.com

วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553

ว่านพญามือเหล็ก

ชื่อวิทยาศาสตร์
Alpinia sandrerae

วงศ์
ZINGIBERACEAE

ชื่อสามัญ
Variegated Ginger

ชื่ออื่นๆ
ขิงด่าง

ลักษณะทั่วไป
ว่านพญามือเหล็ก หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ขิงด่าง มีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดินมีลักษณะคล้ายหัวข่ามีรสเผ็ด มีกลิ่นฉุนกว่าขิง ใบเป็นใบเดี่ยว ใบยาวคล้ายกับใบขมิ้น ปลายใบแหลมขอบใบเป็นคลื่น และมีลายสีขาวบนแผ่นใบและขอบใบ ส่วนที่เห็นเป็นลำต้นเหนือดิน คือส่วนของกาบใบที่เรียงตัวซ้อนกันอยู่ กาบใบจะมีสีเขียว โคนกาบใบสีแดงเข้ม

การปลูก
ปลูกในดินปนทรายหรือดินร่วน แต่ถ้าปลูกลงดินโดยไม่ใช้กระถางก็สามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ว่านจะแตกหน่อหรือแง่งเร็วกว่าการปลูกในกระถาง พรวนดิน แยกแง่งออกปลูกใหม่เป็นระยะๆ เวลาปลูกให้กลบดินให้เหลือหัวว่านโผล่ขึ้นมาเล็กน้อย แล้วรดน้ำให้ชุ่ม

การขยายพันธุ์
โดยการแยกหน่อหรือแยกแง่งของว่านมาปลูกใหม่

ความเป็นมงคล
เป็นว่านสิริมงคล เหมาะที่จะปลูกเลี้ยงไว้ในบริเวณบ้านเป็นว่านที่สามารถป้องกันอันตรายต่างๆ และยังเชื่อกันว่าเป็นว่านที่สามารถป้องกันภูตผีปีศาจต่างๆ ไม่ให้เข้ามาทำร้ายคนในบ้านได้ สมกับชื่อว่า “พญามือเหล็ก”

จากเว็บ http://www.panmai.com



ว่านเศรษฐีขอดทรัพย์

วงศ์
LILIACEAE

ชื่ออื่นๆ
เศรษฐีกอบทรัพย์

ลักษณะทั่วไป
ลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน คล้ายหอมหัวเล็ก เนื้อภายในหัวจะมีสีขาว ใบว่านเศรษฐีขอดทรัพย์ออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เป็นกอ ลักษณะใบคล้ายใบกุยช่าย มีสีเขียวแก่เป็นเงามัน ปลายใบจะงอม้วนเป็นวง

การปลูก
ดินที่เหมาะแก่การปลูกคือดินร่วนผสมใบไม้ผุกับทราย ระบายน้ำได้ดี รดน้ำเช้า-เย็น ให้ว่านถูกแดดบ้างเป็นบางเวลา และควรปลูกในกระถางแขวน หรือกระถางทรงเตี้ยปากกว้าง

การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการแยกกอ หรือ โดยการใช้หัว

ความเป็นมงคล
ถือว่าเป็นว่านทางเมตตามหานิยม หากทำมาค้าขายก็จะซื้อขายคล่อง และยังเป็นว่านเสี่ยงทาย คือหากปลายใบม้วนเป็นวงหมดทุกใบธุรกิจการงานจะประสบความสำเร็จดี ยิ่งถ้าว่านออกดอกจะยิ่งมีโชคลาภยิ่งขึ้น แต่ถ้าใบตรงไม่ม้วนงอก็จะไม่มีโชคลาภ ธุรกิจการงานไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

จากเว็บ http://www.panmai.com


วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553

ว่านเศรษฐีไซ่ง่อน

ชื่อวิทยาศาสตร์
Ophiopogon Jaburan Lodd. Var. aggenteus vittatus Hort.

วงศ์
LILIACEAE

ชื่ออื่นๆ
เศรษฐีขาว, เศรษฐีญวน, ซุ้มกระต่าย (กรุงเทพฯ)

ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นเป็นเหง้าอยู่ใต้ดิน รากเหมือนแฝกหอม ก้านใบแผ่ออกเป็นกาบ โอบหุ้มลำต้นแบบสลับโดยรอบ ใบรูปแคบยาวเหมือนว่านเศรษฐีขอดทรัพย์ แต่ปลายใบไม่ขอด ขนาดกว้าง 1-2 ซม. ยาว 40-50 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบแคบ ขอบใบเรียบเป็นเส้นสีขาว ด้านบนเส้นกลางใบและเส้นใบเป็นร่องเล็กน้อย สีขาวหม่น แผ่นใบสีเขียว ด้านล่างเส้นกลางใบและเส้นใบนูนมีสีเขียวสลับกับแผ่นใบที่มีสีขาวชัดเจน ดอกออกสีขาวชูก้านขึ้นสูงเทียมใบเห็นได้ชัด

การปลูก
ใช้หัวแยกจากกอมาปลูก นิยมใช้ดินที่ปราศจากมลทิน หรือดินกลางแจ้งเป็นเครื่องปลูก กระถางควรเป็นทางเตี้ยจะเพิ่มความสวยงาม จัดทางระบายน้ำให้คล่องๆ และใช้ใบไม้ผุเปื่อยผสมทรายและดินเล็กน้อย จะทำให้ว่านงอกงามอย่างรวดเร็ว ควรวางกระถางในที่ร่มจะช่วยให้ใบสวยสดเป็นเงางาม

การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ หรือใช้ต้นอ่อนที่เกิดจากไหลไปปลูกใหม่

ความเป็นมงคล
เป็นว่านเสี่ยงทาย และเป็นเมตตามหานิยม ปลูกเป็นไม้ประดับ เน้นในกระถางราคาแพง ตั้งโชว์ในห้องรับแขกสำหรับอวดอาคันตุกะไว้ดูเป็นเกียรติแก่เจ้าของบ้าน

จากเว็บ http://www.panmai.com


ว่านกวนอิม

ชื่อวิทยาศาสตร์
Dracaena sanderiana

วงศ์
LILIACEAE

ชื่อสามัญ
Ribbon Plant

ชื่ออื่นๆ
เศรษฐีนิตยา

ลักษณะทั่วไป
เป็นพรรณไม้ยืนต้น ลำต้นโตประมาณ 1-2 ซม. สูง 1-3 เมตร ลำต้นกลม เป็นข้อๆ สีเขียว ไม่มีกิ่งก้านสาขา ใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกจากส่วนยอดของลำต้น มีกาบใบหุ้มห่อลำต้นสลับกันเป็นชั้นๆ ตามข้อของลำต้น ใบแคบเรียวยาว ปลายใบแหลม โคนใบสอบลงมาถึงกาบใบ พื้นใบมีสีเขียว มีสีเขียวเข้มหรือขาวพาดตามยาวของใบ ความกว้างของใบประมาณ 2-3 ซม. ยาวประมาณ 6-8 ซม.
การปลูก
ควรปลูกในดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ที่มีความชื้นสูง รดน้ำเช้า-เย็น แสงแดดจัดหรือแสงร่มรำไร
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการปักชำ
ความเป็นมงคล
เชื่อว่าบ้านใดปลูกว่านกวนอิมจะทำให้คนในบ้านร่ำรวย มีฐานะดี เป็นต้นไม้ที่นำเงินทองของมีค่าเข้าบ้าน นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่าว่านกวนอิมเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ คนโบราณใช้ประกอบในพิธีบูชาพระเจ้าและพิธีทางศาสนา

จากเว็บ http://www.panmai.com


วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

ว่านหนุมาน

ชื่อวิทยาศาสตร์
Jatropha podagrica.

วงศ์
EUPHORBIACEAE

ลักษณะทั่วไป
มีหัวป้อมกลมใต้ดิน ต้นขึ้นเป็นลำเดี่ยว มีกิ่งก้านบริเวณยอดของลำต้น ใบลักษณะคล้ายใบตำลึง แต่หนาและขนาดใหญ่กว่ามาก พื้นใบมีสีเขียวท้องใบมีขน หลังใบมีสีเขียวนวล และมีพรายปรอท เมื่อถูกแสงแดดจะเป็นเงาเหลื่อม ก้านใบและเส้นใบสีแดงเรื่อๆ ก้านดอกยาวสีแดง ลักษณะของดอกมีขนาดเล็ก ออกดอกเป็นกระจุกรวมกันเป็นช่อ สีแดง
การปลูก
ว่านหนุมานจะขึ้นง่ายในดินปนทราย ชอบแดดจัด รดน้ำทุก เช้า–เย็น
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการใช้หัว
ความเป็นมงคล
เมื่อขุดหัวว่านโดยเสกคาถากำกับแล้วเก็บไว้ที่สูง เมื่อจะนำมารับประทานหรือฝนทาตัวก็ต้องเสกคาถากำกับ จะทำให้เกิดอานุภาพหนังเหนียวฟันแทงไม่เข้า และถ้าเอาหัวว่านมาแกะเป็นรูปพญานาคราช และเสกคาถากำกับ เมื่อพกติดตัวจะเป็นเมตตามหานิยม หรือแกะเป็นรูปพระก็จะป้องกันภัยอันตรายทั้งหลายได้ ควรปลูกในวันพฤหัสบดีข้างขึ้น

จากเว็บ http://www.panmai.com

วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2553

ว่านกวักทองคำ

ชื่อวิทยาศาสตร์
Aglaonema commutatum

วงศ์
ARACEAE

ชื่อสามัญ
A.marantifolium tricolor

ชื่ออื่นๆ
กวักแม่ทองคำ

ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้ที่มีลำต้นสูงประมาณ 50-100 ซม. ลำต้นสีเขียวอ่อน แตกกิ่งก้านสาขาออกขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นก้านของใบ ใบเป็นรูปใบพาย ปลายใบแหลม โคมใบมน ใบยาวประมาณ 30 ซม. พื้นใบสีเขียวเข้มมัน มีสีเขียวอ่อนเป็นลายเล็กๆ ทาบไปตามเส้นใบ ก้านใบมีสีชมพู แต่ถ้าไม่สมบูรณ์จะเป็นสีชมพูจางหรือเป็นสีขาว

การปลูก
ควรปลูกว่านด้วยดินร่วน จัดวางกระถางว่านให้ได้รับแสงแดดรำไรและมีความชื้นสูง

การขยายพันธุ์
โดยการแยกหน่อ

ความเป็นมงคล
เชื่อกันว่าเป็นว่านสิริมงคล ว่านแห่งโชคลาภ ปลูกเลี้ยงไว้ในบริเวณร้านค้าขายจะทำมาค้าขึ้น เงินทองไหลมาเทมา

จาดเว็บ http://www.panmai.com


ว่านพญาช้างเผือก

ชื่อวิทยาศาสตร์
Dieffenbachia picta barraquiniana

วงศ์
ARACEAE

ลักษณะทั่วไป
ว่านพญาช้างเผือกเป็นว่านที่มีหัว ลำต้นกลมยาวเป็นข้อ ลำต้นเป็นสีเขียว แตกใบที่ยอดทีละใบ ก้านใบยาวสีขาวสะอาด โคนก้านใบเป็นกาบ ครีบกาบเป็นสีเขียวใบรูปใบพายสีเขียว ปลายใบแหลมโคนใบมน ใบบาง ริมใบบิดเล็กน้อย เส้นกลางใบสีขาวหรือขาวอมเขียว มีจุดขาวประบนใบไม่มากนัก บางใบมีเพียง 2-3 จุด เป็นว่านที่แตกหน่อจากโคนต้น และตามหว่างข้อของลำต้น สามารถแยกไปปลูกได้

การปลูก
ควรปลูกด้วยดินร่วน รดน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ เพราะเป็นว่านชอบน้ำ


การขยายพันธุ์
โดยการแยกหน่อ

ความเป็นมงคล
ในทางสมุนไพรใช้ใบตำกับเหล้าพอกแผลเพื่อถอนพิษงู พิษหมาบ้า พิษแมลงสัตว์กัดต่อยทุกชนิด ในทางคุ้มภัยและคงกระพันชาตรี เชื่อว่าปลูกไว้ในบริเวณบ้านป้องกันภูตผีปีศาจ ปัดเป่าเสนียดจัญไรต่างๆ หากใช้กินโดยการหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วหุ้มด้วยมะขามเปียก กลืนลงไประวังอย่าให้ยางถูกลิ้นหรือบริเวณภายในปากได้ เพราะพิษของยางอาจทำให้ขากรรไกรแข็งได้ เป็นคงกระพันชาตรี

จากเว็บ http://www.panmai.com


วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

ว่านนางคุ้ม

ชื่อวิทยาศาสตร์
Alocasia cucullata. (Scholt)

วงศ์
ARACEAE

ชื่ออื่นๆ
ว่านผู้เฒ่าเฝ้าบ้าน

ลักษณะทั่วไป
เป็นว่านที่มีหัวอยู่ใต้ดิน ลักษณะคล้ายหอมหัวใหญ่ ซึ่งหัวประกอบไปด้วยกลีบของหัวที่เรียงซ้อนกันอยู่จนเป็นหัวกลม ใบกลมใหญ่ หนา คล้ายใบฟักทอง มีสีเขียว ก้านใบยาวสีเขียวแก่ ดอกออกเป็นช่อจากกลางกอ ก้านดอกเป็นแท่งสูงตรง จะมีดอกตูมก่อนแล้วบานเป็นสีขาว แต่ละดอกประกอบด้วยกลีบ 6 กลีบ เกสรสีเหลือง มีกลิ่นหอม
การปลูก
ดินที่จะนำมาปลูกว่านนางคุ้ม ให้นำไปเผาไฟเสียก่อน แล้วทุบดินให้แตกละเอียด แล้วตากน้ำค้างทิ้งไว้ 1 คืน จึงนำดินใส่กระถางสำหรับปลูกวางหัวว่านกลางกระถางแล้วกลบดินไม่ต้องให้ดินปิดหัวว่านจนมิด ให้หัวว่านโผล่ขึ้นมาเล็กน้อย รดน้ำพอเปียกเท่านั้น อย่าให้น้ำมากไป เพราะจะทำให้หัวว่านเน่าได้ รดน้ำ เช้า-เย็น อย่างสม่ำเสมอ

การขยายพันธุ์
โดยการแยกหัว

ความเป็นมงคล
เชื่อว่าว่านนางคุ้มเป็นว่านที่มีความมงคลทางด้านคุ้มครองป้องกันอันตรายต่างๆ ถ้าปลูกไว้ในบ้านจะมีคุณทางป้องกันไฟไหม้ได้ คือ จะคุ้มครองให้บ้านและผู้เป็นเจ้าของรอดพ้นจากการถูกไฟไหม้


จากเว็บ http://www.panmai.com


ว่านกวักโพธิ์เงิน

ชื่อวิทยาศาสตร์
Caladium "Changiuer"

วงศ์
ARACEAE

ลักษณะทั่วไป
ว่านกวักโพธิ์เงิน มีลักษณะเป็นกอเหมือนบอน ก้านใบกลมสีเขียวใบรูปหัวใจ ปลายใบแหลม โคนใบมนเว้าน้อยๆ พื้นใบสีเขียว เส้นกลางใบสีขาว เส้นใบสีขาว มีหัวขนาดเล็กอยู่ใต้ดิน

การปลูก
ควรปลูกว่านกวักโพธิ์เงินด้วยดินปนทราย จัดวางกระถางว่านให้ได้รับแสงแดดรำไร ก้านใบจะแข็งแรงตั้งตรง หากอยู่แต่ในที่ร่มจะทำให้ก้านใบอ่อนไม่ตั้งตรง กอว่านจะไม่สวยงาม

การขยายพันธุ์
โดยการแยกหน่อ

ความเป็นมงคล
สรรพคุณเป็นว่านเสน่ห์เมตตามหานิยม ปลูกเลี้ยงไว้ในบริเวณร้านค้าขายจะทำมาค้าขึ้น ปลูกไว้บริเวณบ้านจะมีแต่ผู้นำลาภยศมาให้


จากเว็บ http://www.panmai.com


วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553

ว่านเศรษฐีเรือนใน

ว่านเศรษฐีเรือนใน Chlorophytum comosum "Vitatum" (Liliaceae)

ลักษณะ
โดยทั่วไป ทั้งกอและใบของว่านเศรษฐีเรื่องในเหมือนกับว่านเศรษฐีเรือนกลาง และเศรษฐีเรือนนอกทุกอย่าง ผิดกันแต่ว่าใบของเศรษฐีเรือนใน ริมใบยกเล็กน้อยมีลายด่างขาวหรือขาวนวลตรงส่วนกลางของใบ ริมใบเป็นสีเขียวทั้งสองด้าน แตกไหลเหนือดินและออกดอกเหมือนกับเศรษฐีเรือนกลางหรือเรือนนอกเช่นกัน

สรรพคุณ
ใช้ปลูกเป็นว่านเสี่ยงทาย และป้องกันภัยนตรายทั้งปวงได้ดี

การปลูก
ควรใช้ดินปนทรายหรือดินร่วนเป็นเครื่องปลูกส่วนตัวว่านอาจแยกกอหรือแยกเอาต้นอ่อนที่เกิดจากไหลมาปลูกก็ได้ ควรจัดวางกระถางว่าน ให้อยู่ในที่ที่มีแสงแดดเพียงรำไรอย่าให้โดนแสงแดดจัดนัก ควรใช้คาถา นะโมพุทธายะ เศกน้ำรดทุกครั้ง


ว่านเศรษฐีเรือนนอก

ว่านเศรษฐีเรือนนอก Chlorophytum comosum "Variegatum" (Liliaceae)

ลักษณะ
เป็นไม้กอขนาดเล็ก มีหัวอยู่ใต้ดิน ไม่มีลำต้น แตกใบอยู่เหนือดินเรียงตัวเป็นกอกลม ใบแบนปลายใบเรียวแหลม ใบแคบคล้ายใบหญ้าคาหรือใบตะไคร้ แต่มีขนาดสั้นกว่ามาก ลักษณะโดยทั่วไปทั้งใบและกอเหมือนว่านเศรษฐีเรือนกลางทุกอย่าง ผิดแต่ว่านเศรษฐีเรือนนอกมีใบด่างขาวหรือขาวนวลที่ริมใบทั้งสองด้าน มีไหลเหนือดินไปแตกเป็นต้นใหม่ได้เช่นเดียวกับว่านเศรษฐีเรือนกลาง

สรรพคุณ
ว่านต้นนี้ใช้เป็นว่านเสี่ยงทายฐานะของผู้ปลูกเลี้ยงหากว่านเจริญเติบโตหน่อแตกกองอกงามดีแสดงว่าผู้เป็นเจ้าของจะเจริญรุ่งเรืองด้วยฐานะตามไปด้วย นอกจากสรรพคุณในทางให้โชคลาภดังที่ว่ามาแล้ว ยังจัดเป็นว่านที่ทรงอิทธิฤทธิ์ มีอำนาจในทางคุ้มครองป้องกันภัยให้แก่บ้านเรือนของผู้ปลูกเลี้ยงว่านต้นนี้ได้อีกด้วย

การปลูก
อาจใช้วิธีแยกกอมาปลูก หรือตัดเอาต้นเล็กซึ่งเกิดจากไหลไปปลูกก็ได้ เครื่องปลูกควรระบายน้ำได้ดี น้ำที่จะใช้รดควรเศกด้วยคาถา "นะโมพุทธายะ" ก่อนรดทุกครั้ง จะช่วยอำนวยผลให้สมใจปรารถนา



วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553

ว่านเสน่ห์จันทน์ขาว

ชื่อวิทยาศาสตร์
Alocasia lindenii

วงศ์
ARACEAE

ลักษณะทั่วไป
เสน่ห์จันทน์ขาวเป็นว่านที่ลำต้นโผล่ขึ้นมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ประกอบไปด้วยกาบใบที่ห่อหุ้มลำต้นอยู่ มีลักษณะคล้ายกับต้นบอน ลำต้นเป็นสีน้ำตาล ใบเป็นรูปใบโพธิ์ พื้นใบสีเขียวและมีสีขาวประอยู่ทั่วใบ ปลายใบแหลมเรียว โคนใบเว้าเข้าหาก้านใบ และถ้าใบสมบูรณ์ดี เส้นกลางใบก็จะเป็นสีขาว ใบอ่อนแตกตรงส่วนยอดของลำต้น โดยจะมีก้านใบกลมตรงชูขึ้นมาและก้านใบก็จะมีขาวด้วย ดอกสีขาวอมเขียวออกดอกเป็นกลุ่ม ลักษณะของดอกคล้ายกับดอกจำปีตูม มีกลีบเดียวกลางดอกมีเกสรเป็นรูปแท่ง มีก้านดอกยาวสีขาว

การปลูก
ควรปลูกในดินปนทรายหรือดินที่มีการระบายน้ำได้ดี อย่าให้ถูกแสงแดดจัดอาจทำให้ตายได้ ควรปลูกในที่มีแสงแดดรำไร ว่านเสน่ห์จันทน์ขาวเป็นว่านที่ชอบน้ำมาก จึงควรรดน้ำทุกเช้าและเย็น

การขยายพันธุ์
โดยการแยกหน่อ

ความเป็นมงคล
เป็นว่านที่มีอำนาจในทางเสน่ห์ ปลูกขึ้นที่ไหนหรือบ้านใดสามารถเป็นเสน่ห์เรียกคนไปที่นั่นได้ ในสมัยโบราณเชื่อกันว่าเป็นว่านเชิงเสน่ห์ระหว่างชายและหญิง และถ้านำหัวว่านมาแกะเป็นรูปนางกวักก็จะเป็นเสน่ห์แก่ผู้ที่ทำอาชีพค้าขาย

จากเว็บ http://www.panmai.com



Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...