แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ขึ้นต้นด้วย ต แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ขึ้นต้นด้วย ต แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ตะขบ

ชื่อสามัญ (Common Name) : Governor plum

ชื่อพฤกษศาสตร์ (Scientific Name) : Flacourtia cataphracta, Roxb.

ชื่อวงศ์ (Family name) : Flacourtiaceae

ชื่ออื่นๆ (Other Name) : มะเกว๋นควาย ครบ

ลักษณะทั่วไป ตะขบไทยเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง แตกกิ่งก้านสาขาที่ยอด ใบลักษณะกลมคล้ายใบพุทรา ผลกลม โตเท่าลูกพรุทรา ผลสุกสีแดงอมดำ

การขยายพันธุ์ ใช้เมล็ดปลูก

ประโยชน์ทางสมุนไพร


ราก ใช้เป็นยาขับเหงื่อ ยาขับเสมหะ
เนื่อไม้ ใช้ปรุงเป็นยาแก้ท้องร่วง แก้บิด มูกเลือดน้ำตะขบไทย ใช้เป็นยาขับเหลื่อ แก้ท้องร่วง และรักษาโรคผิวหนัง

ส่วนผสม


•ตะขบไทยสุก 1ถ้วย
•น้ำต้มสุก 1ถ้วยครึ่ง
•น้ำเชื่อม 1/4ถ้วย
•เกลือ 1/3ช้อนชา

วิธีทำ

เลือกตะขบไทยที่สุกงอม ล้างน้ำให้สะอาดใส่ผ้าขาวบางขยำ เติมน้ำต้มสุกคั้นกรองเอาเปลือกและเมล็ดออก
เติมน้ำเชื่อม เกลือ ชิมรสตามชอบใจ จะได้น้ำผลไม้สีชมพุอมม่วงมีกลิ่นหอมรสเปรี้ยวอมหวาน เค็มเล็กน้อย


จาก http://nantiya2007.multiply.com/photos/album/1298

blogger social network ฟังเพลงสากล Billy1

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

ตาลส้านดอย

ตาลส้านดอย วงศ์ PAPILIONOIDEAE
Desmodium renifolium var. renifolium (L.) Schindl..

ชื่อสามัญ ตาลส้านดอย (เชียงใหม่) เล็บมือนาง (นครราชสีมา)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์และเกษตร ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขาเลื้อยทอดนอนไปตามพื้น (prostrate) ยาว 80-145 เซนติเมตร ลำต้นไม่มีขนมีสีเขียวถึงเขียวอ่อน เส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้น 2.5-4.5 มิลลิเมตร ใบประกอบชนิดมีใบย่อยใบเดียว (simple) ปลายใบมีรอยเว้าตื้น (emarginate) เช่นเดียวกับโคนใบ รูปร่างใบคล้ายรูปพัด ด้านกว้างของใบจะกว้างกว่าด้านยาว คือ กว้าง 3.8-6.2 เซนติเมตร ยาว 1.9-3.2 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ (entire) หน้าใบและหลังใบไม่มีขน ใบที่เจริญเติบโตเต็มที่มีสีเขียวค่อนข้างเข้มถึงเขียวเข้ม ก้านใบยาว 1.5-2.7เซนติเมตร ออกดอกที่ยอดและตาข้าง กลีบเลี้ยงสีขาวออกเหลืองอ่อนๆ กลีบดอกมีสีขาวครีม อับเรณูและเกสรเพศเมียสีเหลืองอ่อนๆ ผลเป็นฝักแบน ยาว 1.6-3.0 เซนติเมตร หักได้เป็นข้อๆ มี 2-6 ข้อ ออกดออกติดเมล็ดตลอดทั้งปี

แหล่งที่พบและเก็บรวบรวมพันธุ์ พบที่อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ (PC 353) อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น (PC 308)

คุณค่าทางอาหาร อายุ 75 – 90 วัน โปรตีน 13.5 เปอร์เซ็นต์ ฟอสฟอรัส 0.25 เปอร์เซ็นต์ โพแทสเซียม 1.77 เปอร์เซ็นต์ แคลเซียม 1.22 เปอร์เซ็นต์ ADF 29.9 เปอร์เซ็นต์ NDF 42.3 เปอร์เซ็นต์ DMD 71.9 เปอร์เซ็นต์ (โดยวิธี Nylon bag)

การใช้ประโยชน์ อาหารสัตว์ โค-กระบือ


วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

ตะแบกนา

ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ: ตะแบกนา ตะแบกไข่ เปื๋อยนา เปื๋อยหางค่าง

ลักษณะ: ผลัดใบ สูง 15 - 30 เมตร

ใบ: ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามหรือเยื้องกันเล็กน้อยใบอ่อนสีแดงมีขนสั้นอ่อนนุ่มปกคลุม ใบแก่ขนจะหลุดหายไป แผ่นใบรูปขอบขนานแกมรูปหอก กว้าง 5 - 7 เซนติเมตร ยาว 12 - 20 เซนติเมตร ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนสอบ
ดอก: สีม่วงอมชมพูต่อมาเปลี่ยนเป็นสีขาวหรือเกือบขาว ออกรวมกันเป็นช่อตามปลายกิ่ง ผล รูปรี ยาวประมาณ 2 เซนติเมตร

การขยายพันธุ์: โดยเมล็ด

ประโยชน์:เนื้อไม้ละเอียดแข็ง ใจกลางมักเป็นโพรง ใช้ทำสิ่งปลูกสร้างที่รับน้ำหนัก เสา กระดานพื้น และเครื่องมือการเกษตร และนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ขึ้นประปรายในป่าเบญจพรรณพื้นที่ที่ค่อนข้างชุ่มชื้นทางภาคเหนือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ส่วนภาคตะวันออก และภาคใต้มีขึ้นอยู่มากใน ป่าดงดิบ ป่าน้ำท่วม และตามท้องนา ทั่ว ๆ ไป

ออกดอก กรกฎาคม - กันยายน ไม่แน่นอนแล้วแต่สภาพพื้นที่และสิ่งแวดล้อม เก็บเมล็ดได้ประมาณเดือน ธันวาคมขึ้นไป ผลแก่ จะแตกเพื่อโปรยเมล็ดในราวเดือน มีนาคม

จากเว็บ http://my.dek-d.com/chinjung-jomjun/blog/?blog_id=10025127


วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

ตาเบบูยาพันธุ์ทิพย์ .ชมพูพันธุ์ทิพย์

ชื่ออื่นๆ : ชมพูอินเดีย ตาเบบูยาพันธุ์ทิพย์

ชื่อพฤกษศาสตร์ : Tabebuia rosea (Bertol.) Raf.

วงศ์ : BIGNONIACEAE

ข้อมูลทั่วไป


ชมพูพันธุ์ทิพย์เป็นไม้ต้น ผลัดใบ สูง 8 - 18 เมตร ใบ ออกตรงข้ามสลับฉาก ใบประกอบรูปนิ้วมือ ใบย่อย 5 ใบ ใบย่อยรูปรี โคนใบสอบ ปลายใบเรียวแหลม กว้างประมาณ 5 ซม. ยาวประมาณ 10 ซม. ดอกช่อ ออกตามปลายกิ่ง กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวย ปลายแยกเป็น 5 กลีบ ดอกร่วงง่าย สีชมพู หรือ ม่วงอมชมพู ผล เป็นฝัก แห้ง แตก รูปร่างแคบ แบน ยาวประมาณ 15 ซม.เมื่อแก่แตกเป็น 2 ซีก เมล็ด จำนวนมาก มีปีก ออกดอกเดือน กุมภาพันธ์- เมษายน การขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด ตอนกิ่งหรือ ปักชำ ประโยชน์ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป เนื่องจากดูแลง่ายและดอกสวยงาม เป็นไม้ประดับที่ ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ บริพัตร เป็นผู้นำเข้ามา จึงได้ตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแก่ท่าน ถิ่นกำเนิด อเมริกากลางและอเมริกาใต้




กลับสู่หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

ดอกเทียนซ้อน

เทียนซ้อน (Balsam) ต้นสูง 35-50 ซม. ขึ้นอยู่กับพันธุ์ ดอกก็ซ้อนแตกต่างกัน มากบ้างน้อยบ้าง ถ้าดอกซ้อนมากจะติดเมล็ดน้อย เพราะละออกเกสรเข้าไม่ถึง มีหลายสี ตั้งแต่ ขาว ชมพู ถึงแดง และม่วงน้ำเงิน มีสีอ่อน แก่หลากหลายทีเดียวครับ เป็นไม้กระถางขนาดกลางที่สวยมาก















สำหรับการปลูก ก็ปลูกง่าย เพาะกล้าก่อน เมล็ดงอกง่าย พองอกก็รีบเอาออกแดด จะได้ไม่ยืด ต้นได้ทรงสวย ย้ายลงกระถางหรือลงดิน ตอนที่มีใบ4-5ใบ จากนั้นก็เลี้ยงไปจนเห็นดอกแหละ เทียนซ้อน ชอบชื้นมากหน่อยแต่ห้ามแฉะนะ เดี๋ยว เน่าตายหมด






กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553

แตรนางฟ้า

แตรนางฟ้า ANGELS' TRUMPETS

เป็นไม้วงศ์ : SOLANACEAE (วงศ์เดียวกับมะเขือ, มะเขือเทศ, พีทูเนีย, ยาสูบ)

ต้นไม้สกุลนี้มีถิ่นกำเนิดในธรรมชาติอยู่แถบทวีปอเมริกาเหนือ ตั้งแต่ภาคใต้ของสหรัฐอเมริกาไปจนถึงทวีปอเมริกาใต้ ดอกมีขนาดใหญ่มาก สีขาว เหลือง ม่วง ชมพู ส้ม มีทั้งดอกชั้นเดียวและดอกซ้อน ส่วนมากมีกลิ่นหอม ดอกเป็นหลอดยาว ปลายแบะกว้าง ดูคล้ายๆลำโพงเครื่องเล่นแผ่นเสียงสมัยก่อน


แต่เดิมคนสมัยก่อน ใช้แตรนางฟ้า หรือลำโพงเป็นยาสมุนไพร ช่วยระงับความเจ็บปวด (anodyne) และแก้อ
าการเกร็ง (antispamodic) หรือมวนเป็นบุหรี่ใช้สูบรักษาโรคหืด หรืออาจนำเมล็ดมาตำให้ละเอียด และแช่ในน้ำมันพืช น้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันงา เมื่อครบ 7 วันนำมากรอง น้ำมันที่ได้นำมาใช้ทาแก้อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เคล็ดขัดยอกได้ดี


ทางด้านการเป็นพิษ อาการแสดงที่เกิดจากพิษของลำโพงปรกติจะมีอาการภายในเวลา 30 นาที ถึง 60 นาที หลังจากกินเมล็ดลำโพง หรือส่วนต่าง ๆ ของลำโพง และอาการจะดำเนินต่อไปอีก 2-3 วันเนื่องจากสารอัลคาลอยด์ (alkaloid) ในลำโพงจะออกฤทธิ์อย่างช้า ๆ ในระบบทางเดินอาหาร


อาการเบื้องต้นที่พบบ่อยคือปากคอแห้ง กระหายน้ำ กลืนอาหารและน้ำด้วยความยากลำบาก ต่อมาสายตาพร่ามัว ระบบประสาทกลางถูกกระตุ้น มีอาการเคลิบเคลิ้มเป็นสุข ต่อมาเกิดอาการเพ้อคลั่ง มีอาการประสาทหลอน เพ้อเห็นสิ่งประหลาดต่าง ๆ นานาอย่างน่า สะพึงกลัว เช่นเห็นแมลงจำนวนมากมายอยู่บนผนัง หรือเห็นปลาฉลามกำลังไล่ล่ามนุษย์อย่างน่ากลัว หัวใจเต้นเร็ว ความร้อนในร่างกายสูงผิดปรกติ ไม่สามารถจดจำเหตุการณ์ผิดปรกติในระหว่างเกิดอาการ และอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้


วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553

เตยแก้ว

ชื่อ : เตยแก้ว

ชื่อพฤกษศาสตร์: Pandanus pacificus H.J. Vietch ex M.T. Mart.

เตยแก้ว หรือเตยญี่ปุ่น เป็นไม้ประดับที่นิยมกันทั่ว ใช้จัดสวนประดับริมน้ำในที่โล่งแจ้งที่มีเนื้อที่กว้างขวาง หรือปลูกริมตลิ่งยึดดิน ริมน้ำเป็นแนวยาว เพราะเตยแก้วขยายพันธุ์ได้รวดเร็วมาก โดยการแยกหน่อของเตยชนิดนี้ไปปลูก ไม่ว่าจะแยกต้นเล็กต้นใหญ่ต้นนิดต้นน้อย เตยแก้วจะให้หน่อเป็นต้นเร็วจำนวนมาก ท่านที่จะทำบ้านริมน้ำ ให้ปรับแนวตลิ่งให้ราบจัดสวนชายน้ำให้สวยงาม พวกนี้น้ำท่วมถึงก็ไม่เป็นไร ปลูกง่ายตายยาก น้ำลดมีหน่อมีเหง้าอยู่เดี๋ยวก็ขึ้นใหม่



จากเว็บ http://www.suansavarose.com/index.php?mo=3&art=195473

กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

เตยด่าง

ชื่อ : เตยด่าง

ชื่อพฤกษศาสตร์ : Pandanus veitchii Mast. & Moore

วงศ์ : Pandanaceae

ถิ่นกำเนิด : โพลินีเซีย

ใน ธรรมชาติพบตามริมน้ำหรือบริเวณทั่วไปที่มีน้ำกร่อยแตกรากค้ำจุนที่โคนเหมาะ สำหรับปลูกเป็นไม้ริมตลิ่งเพราะรากค้ำยันจะช่วยป้องกันการพังทลายของดินได้ ดอก มีกลิ่นหอม แต่จะออกดอกเมื่อต้นโดเต็มที่เท่านั้น การขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อมาปลูกไม่นิยมเพาะเมล็ด ขนาดออกดอกยังใช้เวลานาน กว่าเมล็ดจะสมบูรณ์นำมาใช้เพาะได้ก็เลยเสียเวลารอ แยกหน่อง่ายกว่าเพียงแต่ว่าตอนต้นเล็กใบยังไม่มีหนามควรเลี้ยงไว้ในที่ที่มี แสงแดดครึ่งวันพอต้นโตเต็มที่จะมีหนามเกิดขึ้นค่อยนำไปปลูกในที่มีแสงแดด ตลอดวัน



จากเว็บ http://www.suansavarose.com/index.php?mo=3&art=195473

กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

โพทะเล

โพทะเล Thespesia populneoides (Roxb.) Kostel.

เรียกอีกชื่อว่า ปอกะหมัดไพร (ราชบุรี), ปอมัดไซ (เพชรบุรี), บากู (ปัตตานี, มลายู)


จัดอยู่ในวงศ์ Malvaceae


ลักษณะทั่วไป


เป็นไม้ยืนต้น ขนาดเล็กสูง 8-12 เมตร ลำต้นโค้ง แตกกิ่งในระดับต่ำ เรือนยอดแผ่กว้าง ค่อนข้างหนาทึบ เปลือกเรียบสีเทาอ่อนหรือขรุขระมี รอยแตกตามยาวเป็นร่องลึก

ใบ เดี่ยว เรียงสลับ รูปคล้ายหัวใจ โคนใบเว้าตื้น ความกว้างและความยาวของใบเท่า ๆ กัน

ดอก ออกตามง่ามใบเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นคู่ ก้านดอกยาวประมาณ 5-12 ซม.โน้มเอียงหรือห้อยลง ไม่มีใบประดับ วงกลีบเลี้ยงรูปถ้วยไม่มีแฉก คล้ายแผ่นหนังไม่หลุดร่วง กลีบดอกสีเหลือง รูปไข่ โคนกลีบติดกันรูประฆัง มีจุดสีแดงเข้มอมน้ำตาลแต้มที่โคนกลีบดอกด้านใน ดอกบานเต็มที่ภายในวันเดียว แล้วจะเปลี่ยนสีเป็นชมพูแกมม่วงอ่อน เหี่ยวบนต้น ก่อนร่วงหล่นในวันถัดมา หลอดเกสรตัวผู้สีเหลืองจาง ๆ มีอับเรณูติดอยู่ตลอดความยาวของหลอด ออกดอกประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม

ผล เป็นผลค่อนข้างกลมเปลือกแข็ง มีวงกลีบเลี้ยงรูปคล้ายจานอยู่ที่ขั้วผล ผลแก่เต็มที่มีเปลือกแยกออก ได้เป็น 3 ชั้น เปลือกชั้นนอกเรียบ เปลือกชั้นกลางหนา กว่าเปลือกชั้นในแข็ง โดยเปลือกชั้นนอกจะแตกออกเป็น 5 แฉก ประมาณครึ่งผลทางด้านปลายผล เมล็ดมีขนสั้นสีทองปกคลุม

พบมากในที่ดอนหรือชายฝั่งทะเลและริมแม่น้ำที่ดิน เป็นดินร่วนปนทราย




กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

ถอบแถบน้ำ

ถอบแถบน้ำ (Derris trifoliate Lour.)

วงศ์ : LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE

ชื่ออื่น : แควบทะเล, ถอบแถบทะเล, ผักแถบ(กลาง); ทับแถบ(สมุทรสงคราม); ถั่วน้ำ(นราธิวาส)

ลักษณะทั่วไป

เป็นไม้เถา ลำต้นมักเลื้อยทอดไปตามพื้นดิน ยาว ๕ - ๑๐ เมตร กิ่งเรียวยาว

ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงเวียน ก้านใบยาว ๑๐-๑๕ ซม. มีใบย่อย ๑-๒ คู่ และที่ปลายอีก ๑ ใบ ก้านใบย่อยสั้น แผ่นใบย่อยรูปไข่แกมรูปขอบขนาน รูปรีแกมรูปขอบขนาน ถึงรูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ ขนาด ๑.๕ - ๕ x ๓ - ๑๐ ซม. ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ปลายแหลมถึงเรียวแหลม โคนทู่ถึงมนกลม เส้นใบ ๘ - ๑๐ คู่

ดอก ออกเป็นช่อเดี่ยวตามง่ามใบ ช่อดอกยาว ๕ - ๑๕ ซม. ดอกมีสีขาว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อน เส้นผ่าศูนย์กลาง ๑ ซม. ออกดอกระหว่างเดือน พฤษภาคม - สิงหาคม

ผล เป็นฝัก เบี้ยว รูปขอบขนาน ขอบฝักเป็นสันบางแคบ สันฝักด้านบน กว้างกว่าด้านล่างสองเท่า ขนาด ๓ x ๓.๕ ซม. มี ๑ เมล็ด เมล็ดรูปไตยาว ๑ - ๑.๒ ถอบแถบน้ำ ขึ้นตามฝั่งแม่น้ำและพื้นที่พรุใกล้ทะเล





กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

ต้นถั่วขาว

วงศ์ : RHIZOPHORACEAE

ชื่ออื่น : ถั่วแดง, ประสักขาว (จันทบุรี); โปรง, โปรย (มลายู – ใต้); ปรุ้ย (มลายู – สตูล); รุ่ย(เพชรบุรี)

ลักษณะทั่วไป


เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก - กลาง สูง ๘ - ๑๕ เมตร พูพอนน้อยแต่บริเวณโคนต้นพองขยายออก เรือนยอดแน่นทึบรูปปิระมิด เปลือกสีเทาหรือสีน้ำตาล เรียบถึงหยาบเล็กน้อย ตามลำต้นมีช่องอากาศ กิ่งอ่อนสีเขียว มีรากหายใจรูปคล้ายเข่ายาว ๑๕ - ๒๐ ซม. เหนือผิวดิน

ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับทิศทาง แผ่นใบรูปรี ขนาด ๓ - ๘ x ๗ - ๑๙ ซม. ปลายใบแหลม ฐานใบรูปลิ่ม ผิวด้านบนสีเขียวเข้ม ท้องใบสีจางกว่าเกลี้ยงทั้งสองด้าน ขอบใบม้วนลง เส้นกลางใบสีเขียว เส้นใบ ๗ คู่ ไม่เด่นชัดก้านใบยาว ๑.๕ - ๔ ซม. หูใบยาว ๓ - ๕ ซม. สีเขียว

ดอก ออกเป็นช่อ กระจุกที่ง่ามใบ ช่อละ ๓ ดอก ก้านช่อดอกยาว ๐.๖ - ๐.๙ ซม. ดอกยาว ๑- ๑.๔ ซม. สีเขียวอ่อน ก้านดอกย่อยยาว ๐.๑ - ๐.๕ ซม. วงกลีบเลี้ยงรูประฆัง โคนกลีบติดกันเป็นหลอด ขนาด ๐.๒ - ๐.๓ x ๐.๔ - ๐.๖ ซม. ผิวเรียบสีเขียว ปลายแยกเป็น ๘ แฉก กลีบเลี้ยงยาวเท่าหลอด ปลายกลีบโค้งกลับกลีบดอก ๘ กลีบ สีขาว รูปขอบขนาน ยาว ๐.๓ - ๐.๔ ซม. ปลายแยกเป็น ๒ แฉก ขอบกลีบมีขนสีขาว ปลายกลีบมีขนแข็งสีน้ำตาล ๒ - ๓ เส้น ยาว ๐.๑ ซม.

ผล เป็นผลแบบงอกตั้งแต่ยังติดอยู่บนต้น ผลสีเขียว ยาว ๑ - ๑.๔ ซม. กลีบเลี้ยงหุ้มผลรูปดาว กลีบโค้งกลับ ลำต้นใต้ใบเลี้ยงหรือ “ฝัก” รูปทรงกระบอก เรียวโค้ง ขนาด ๐.๔ - ๐.๖ x ๗ - ๑๔ ซม. เมื่อยังอ่อนสีเขียวและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมเขียวเมื่อแก่ ออกดอกและผลเกือบตลอดทั้งปี ขึ้นในพื้นที่ดินเลนตื้น เหนียวและแข็ง ตามริมชายฝั่ง หรือพื้นที่ที่ถูกเปิดโล่งไม่เหมาะกับพันธุ์ไม้ป่าชายเลน





กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

ตะบูนดำ

ชื่อวิทยาศาสตร์ Xylocarpus moluccensis

วงศ์ MELIACEAE

ชื่ออื่น ตะบูน, ตะบัน (กลาง,ใต้)

ลักษณะทั่วไป

เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูง 20-35 เมตร ผลัดใบ ลำต้นเปลาตรง โคนต้นมีพูพอนเล็กน้อย เรือนยอดเป็นพุ่มกลม เปลือกขรุขระ สีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นร่องตามยาว ต้นแก่เปลือกลอกเป็นแถบแคบๆ เปลือกหนาประมาณ 0.3-0.5 ซม. เนื้อไม้สีน้ำตาล มีรากหานใจรูปคล้ายกรวยคว่ำ กลม หรือ แบน ปลายมน ยาว 20-40 ซม.
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ชั้นเดียว ไม่มียอด เรียงสลับ ใบย่อยมักมักมี 1-3 คู่เรียงตรงข้าม แผ่นใบรีถึงรูปขอบแกมรี ขนาด 2-6 x 5-15 ซม. ปลายใบมน ฐานใบแหลม ผิวใบเป็นมัน สีเขียวเข้ม และจะเปลี่ยนเป็นสีส้มอมเหลืองทั้งต้น ก่อนที่จะร่วงหล่น ก้านใบย่อยสั้นมาก

ดอก ออกดอกที่ง่ามใบ ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ยาว 7-17 ซม.ประกอบด้วยดอกจำนวนมาก กลีบเลี้ยง 4 กลีบ ยาว 1-1.5 ซม. กลีบดอก 4 กลีบไม่ติดกัน เกสรเพศผู้ 8 อันออกดอกพร้อมกับแตกใบใหม่ประมาณเดือนกุมภาพันธ์- มีนาคม

ผล ค่อนข้างกลม มีร่องเล็กน้อย สีเขียว ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 7-12 ซม. มี 7-11 เมล็ด ลักษณะโค้งนูน หนึ่ง ด้าน กว้าง 4-6 ซม. ผลแก่ประมาณเดือนสิงหาคม - ตุลาคม

ลักษณะเด่น มีรากหายใจกลมบ้างแบนบ้างแล้วแต่สภาพของดินเลนโคนต้น
มีพูพอนต้นเล็กสภาพลำต้นจะแตกต่างไปบ้าง คือ เปลือกเรียบ สีออกสีแดง มีร่องสีขาวเป็นทางยาวตามลำต้น เป็นไม้ผลัดใบชนิดหนึ่งของไม้ป่าชายเลน ลำต้นมักเป็นโพรงเมื่อต้นแก่การเจริญเติบโต ขึ้นกระจายในบริเวณที่ดินเลนค่อนข้างแข็ง เนื้อไม้มีสีสวย และลวดลายสวยงามใช้ตกแต่ง ทำเฟอร์นิเจอร์





กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

ตะบูนขาว

ตะบูนขาว

ชื่อวิทยาศาสตร์ Xylocarpus granatum

วงศ์ MELIACEAE

ชื่ออื่น กระบูน, กระบูนขาว,ตะบูน (กลาง,ใต้) หยี่เหร่ (ใต้)

ลักษณะทั่วไป


เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก- กลาง สูง 8-20 เมตร ไม่ผลัดใบ ลำต้นสั้น แตกกิ่งใกล้โคนต้นมีพูพอนแผ่ออกคดเคี้ยวต่อเนื่องกับรากหานใจที่แบนคล้ายแผ่นกระดาน เปลือกเรียบบาง สีเหลืองแต้มเขียวอ่อน หรือสีน้ำตาลอ่อนถึงสีน้ำตาลแกมชมพู ลักษณะคล้ายต้นฝรั่งหรือต้นตะแบก เปลือกหลุดออกเป็นแผ่นไม่แน่นอน

ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ชั้นเดียว ไม่มียอด เรียงสลับ ใบย่อยมักมักมี1-2 คู่ เรียงตรงข้าม หรือเยื้องกันเล็กน้อย แผ่นใบรูปไข่กลับ ขนาด 2-5 x 7-14 ซม. แผ่นใบสมมาตรกัน ปลายใบกลม ฐานใบลิ่ม

ดอก ออกเป็นช่อที่ง่าม ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ยาว 3-8 ซม.แต่ละช่อมี 8-20 ดอก เส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.2 ซม. เป็นดอกแยกเพศ ก้านดอกย่อยยาว 0.4-1 ซม.กลีบเลี้ยง 4 กลีบ ยาว 0.2 ซม. กลีบดอก 4 กลีบไม่ติดกัน สีขาวครีม เกสรเพศผู้8อันดอกมีกลิ่นหอมตั้งแต่บ่ายถึงค่ำ

ผล ลักษณะกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 15-20 ซม.แบ่งเป็น 4พู เท่าๆกัน แต่ละผลมี 7-17 เมล็ดลักษณะโค้งนูน หนึ่ง ด้าน กว้าง 6-10 ซม. ผลแก่สีน้ำตาลแดง คล้ายผลทับทิม ออกดอก- ผล ตลอดทั้งปี



การเจริญเติบโต มักขึ้นปะปนกับพันธุ์ไม้ป่าชายเลนหลายชนิด เช่นไม้พังกา หัวสุมดอกขาว ถั่วดำตาตุ่มทะเลและไม่โกงกางใบเล็กเป็นต้นขึ้นได้ดีในน้ำกร่อยพบบ้างเล็กน้อยในบริเวณน้ำจืด






กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...