แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ไม้ยืนต้น แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ไม้ยืนต้น แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ตะขบ

ชื่อสามัญ (Common Name) : Governor plum

ชื่อพฤกษศาสตร์ (Scientific Name) : Flacourtia cataphracta, Roxb.

ชื่อวงศ์ (Family name) : Flacourtiaceae

ชื่ออื่นๆ (Other Name) : มะเกว๋นควาย ครบ

ลักษณะทั่วไป ตะขบไทยเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง แตกกิ่งก้านสาขาที่ยอด ใบลักษณะกลมคล้ายใบพุทรา ผลกลม โตเท่าลูกพรุทรา ผลสุกสีแดงอมดำ

การขยายพันธุ์ ใช้เมล็ดปลูก

ประโยชน์ทางสมุนไพร


ราก ใช้เป็นยาขับเหงื่อ ยาขับเสมหะ
เนื่อไม้ ใช้ปรุงเป็นยาแก้ท้องร่วง แก้บิด มูกเลือดน้ำตะขบไทย ใช้เป็นยาขับเหลื่อ แก้ท้องร่วง และรักษาโรคผิวหนัง

ส่วนผสม


•ตะขบไทยสุก 1ถ้วย
•น้ำต้มสุก 1ถ้วยครึ่ง
•น้ำเชื่อม 1/4ถ้วย
•เกลือ 1/3ช้อนชา

วิธีทำ

เลือกตะขบไทยที่สุกงอม ล้างน้ำให้สะอาดใส่ผ้าขาวบางขยำ เติมน้ำต้มสุกคั้นกรองเอาเปลือกและเมล็ดออก
เติมน้ำเชื่อม เกลือ ชิมรสตามชอบใจ จะได้น้ำผลไม้สีชมพุอมม่วงมีกลิ่นหอมรสเปรี้ยวอมหวาน เค็มเล็กน้อย


จาก http://nantiya2007.multiply.com/photos/album/1298

blogger social network ฟังเพลงสากล Billy1

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ต้นเสี้ยว

ต้นเสี้ยว ( ชงโค , เสี้ยวดอกแดง )

ชื่อวิทยาศาสตร์ Bauhinia pottsii G. Don var. docipiens K & S. Larson , Bauhinia purpurea

ลักษณะนิสัย ออกดอกเดือน พ.ค. – มิ.ย. ติดฝักเดือน ก.ค. ผลัดใบ หมดทั้งต้น

ลักษณะพิเศษของพืช ให้ร่มเงาดี ทำฟืน ออกผลเป็นฝัก คล้ายฝักถั่วลันเตา

บริเวณที่พบ ที่ราบป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้งทั่วทุกภาคของไทย ประเทศ เขมร ลาว พม่า

จาก http://school.obec.go.th/huakhuann/prusa.htm

blogger social network ฟังเพลงสากล Billy1

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ฮังหนาม

ฮังหนาม ( ขี้หนู , เปาหนาม )

ชื่อวิทยาศาสตร์ Bridelia pierre Gagnep

ลักษณะนิสัย ออกดอกเดือน ก.ค. – ส.ค. ติดผลเดือน ก.ย. – ต.ค. ผลัดใบหมดทั้งต้น

ลักษณะพิเศษของพืช ให้ร่มเงา ทำฟืน ดอกกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลสุกกินได้รสหวาน

บริเวณที่พบ ป่าดงดิบ ป่าดิบชื้น ป่าผลัดใบภาคอีสานของไทย


จาก http://school.obec.go.th/huakhuann/prusa.htm

blogger social network ฟังเพลงสากล Billy1

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ต้นชาด

ชื่อพื้นเมือง ต้นชาด ( ซาก , พันซาด , ตะแบง , ซาด )

ชื่อวิทยาศาสตร์ Erythrophlejum succirubrum Gagnep , Erythrophleum teysmannii Kurz

ลักษณะนิสัย ผลัดใบหมดทั้งต้น แล้วแตกใบ ออกดอก เดือน พ.ย. – ม.ค. ติดผลเดือน ก.พ. – มี.ค.

ลักษณะพิเศษของพืช ไม้เนื้อแข็ง ทำเครื่องเรือน ทำฟืน เผาถ่าน ถ่าน เป็นยาแก้โรคเด็ก แก้อาการซึม แก้พิษไข้ และถ่านให้ไฟแรงดี

บริเวณที่พบ ป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้งภาคอีสานของไทย

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ต้นแดง

ชื่อพันธุ์ไม้ แดง

ชื่อสามัญ Iron Wood

ชื่อวิทยาศาสตร์ Xylia sylocarpa Var. kerrii (Craib & Hutch.) I. Nielsen
วงศ์ LEGUMINOSAE

ชื่ออื่น กร้อม (ชาวบน-นครราชศรีมา), ไคว (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), คว้าย (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่, กาญจนบุรี), ไคว เพร่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), จะลาน จาลาน (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), แดง (ทั่วไป), ตะกร้อม (ชอง-จันทบุรี), ปราน (ส่วย-สุรินทร์) ไปรน์ (ศรีษะเกษ), ผ้าน (ละว้า-เชียงใหม่), เพ้ย (กะเหรี่ยง-ตาก), สะกรอม (เขมร-จันทบุรี)
ลักษณะทั่วไป เป็นไม้ยืนต้น สูง 15–30 เมตร กิ่งก้านและยอดอ่อนมีขนละเอียดสีเหลือง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้นเรียงสลับ ประกอบด้วย 2 ช่อ ใบแตกออกเป็น 2 ง่าม ใบย่อย 4–5 คู่รูปไข่หรือรูปไข่แกมขอบขนาน ออกดอกเป็นช่อทรงกลมคล้ายดอกกระถิน ที่ปลายกิ่งและซอกใบ กลีบดอกสีขาว ผล เป็นฝักรูปไต แบน แข็ง
ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด
สภาพที่เหมาะสม สภาพดินที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ต้องการแสงแดด
ถิ่นกำเนิด เป็นไม้หลักของป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งทั่วๆ ไป








วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กะบก (บก,กระบก,หมักบก)

ชื่อพื้นเมือง กะบก ( บก , กระบก , หมักบก )

ชื่อวิทยาศาสตร์ Irvingia malayanaoliv. Exa. Benn.

ลักษณะนิสัย ผลัดใบหมดทั้งต้น ออกดอกเดือน มกราคม – มีนาคม ติดผลเดือน กุมภาพันธ์ – เมษายน ผลสุกเดือน สิงหาคม – กันยายน

ลักษณะพิเศษของพืช เนื้อไม้แข็ง หนัก ให้ร่มเงา ทำฟืน เผาถ่าน ทำ เครื่องเรือน งานก่อสร้างภายใน เนื้อในเมล็ด
กินได้ รสมัน

บริเวณที่พบ ทั่วทุกภาคของประเทศไทยตามป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้ง





วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หมากค้อ

ชื่อวิทยาศาสตร์

Schleichera oleosa (Lour.) Oken.

ลักษณะนิสัย

ผลัดใบหมดทั้งต้น ออกดอกเดือน มี.ค.-เม.ย. ผล

สุกเดือน ก.ค.-ส.ค.

ลักษณะพิเศษของพืช

ให้ร่มเงาดี ทำฟืน เผาถ่าน ถ่านให้ไฟแรงดี ผลสุกกกิน

ได้ จิ้มเกลือรสหวานอมเปรี้ยว

บริเวณที่พบ

ป่าผลัดใบ ป่าดิบเขา ป่าเบญจพรรณภาคเหนือ อีสาน


วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หมักแงว

หมักแงว SAPINDACEAE
Nephelium hypoleucum Kurz

ชื่ออื่น คอแลน (ภาคเหนือ ภาคกลาง) ไม้ขาวลาง มะแงว หมักงาน มะแงะ หมักแวว (ภาคตะวันออก) คอแลนตัวผู้ ลิ้นจี่ป่า (ภาคตะวันออกเฉียงใต้) กะเบน คอรั้ง สังเครียดขอน (ภาคใต้)

หมักแงวเป็นไม้ต้น สูง 10–30 ม. เปลือกค่อนข้างเรียบสีน้ำตาล ใบ ประกอบแบบขนนกเรียงสลับ มีใบย่อย 1–4(–5) คู่ เรียงตรงข้าม หรือเยื้องกัน บางครั้งสลับ แผ่นใบย่อยรูปไข่ถึงรูปรี กว้าง 2–8 ซม. ยาว 6–30 ม. ปลายป้านถึงแหลม โคนมนถึงแหลม ผิวใบด้านบนเกลี้ยง ด้านล่างมีขนคล้ายไหม ดอก เล็ก สีขาว เหลืองอ่อน หรือเขียวอ่อน กลิ่นหอม มีต่อมน้ำหวานมาก ออกเป็นช่อตามปลายกิ่งและตามง่ามใบใกล้ยอด ผล รูปกลมรี กว้าง 1–3 ซม. ยาว 2–3 ซม. มีตุ่มสีแดง เปลือกหนา เมล็ดมีเยื่อหุ้ม

หมักแงวมีการกระจายพันธุ์ในป่าดิบและป่าเบญจพรรณ ทั่วทุกภาคของประเทศ ความสูงตั้งแต่ระดับทะเลปานกลางถึง 1,200 ม. ในต่างประเทศพบที่พม่า และประเทศในภูมิภาคอินโดจีน ออกดอกเดือนธันวาคม–มีนาคม ผลแก่เดือนกุมภาพันธ์–มิถุนายน

เยื่อหุ้มเมล็ดมีรสหวานอมเปรี้ยวกินได้ เนื้อไม้ละเอียดเหนียวและแข็ง สีแดงหรือน้ำตาลแดง ใช้ทำเครื่องมือทางการเกษตร ฟืนและถ่าน

วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

ว่านธรณีสาร

ชื่อวิทยาศาสตร์
Phyllanthus Pulcher Wall ex Muell Arg.

วงศ์
EUPHORBIACEAE

ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ลำต้นตรง สูงประมาณ 0.5–1 เมตร ลำต้นสีเขียว ตรงปลายยอดเป็นสีอ่อน หากต้นแก่โคนต้นจะเป็นสีน้ำตาล ใบมีลักษณะกลมเล็กคล้ายใบมะขาม ก้านใบสีเขียว ใบจะออกทั้ง 2 ข้างของก้านใบคู่กันไปจนสุดปลายก้าน ส่วนก้านใบจะแตกออกจากลำต้นโดยรอบๆ เป็นพุ่มสวยงาม

การปลูก
ปลูกในดินร่วน หรือดินปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดี ควรปลูกหรือจัดวางกระถางในบริเวณที่ได้รับแสงแดดปานกลาง และควรรดน้ำให้ชุ่มทุก เช้า-เย็น

การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดเพาะเป็นต้นกล้า แล้วจึงแยกต้นกล้าไปปลูก

ความเป็นมงคล
ว่านธรณีสารเป็นว่านที่นับถือกันมาช้านาน โดยการนำไปเข้าพิธีประพรมน้ำมนต์ เพราะเชื่อกันว่าเป็นมงคล ปลูกไว้ในบริเวณบ้านแล้วจะดี และควรปลูกว่านธรณีสารในวันพฤหัสบดี ข้างขึ้น

จากเว็บ http://www.panmai.com


วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2553

นนทรี

ชื่อสามัญ Yellow Flamboyant

ชื่อวิทยาศาสตร์ Peltophorum pterocarpum (DC.)K. Heyne

วงศ์ LEGUMINOSAE

ชื่ออื่น กระถินป่า กระถินแดง สารเงิน

ถิ่นกำเนิด เอเชียเขตร้อน
ลักษณะทั่วไป

เป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดกลาง ลำต้นค่อนข้างเปลาตรง สูง 8-15 เมตร ชอบขึ้นตามป่าชายหาด เปลือกสีเทาค่อนข้างเรียบหรือแตกเป็นสะเก็ดเล็กๆ ทั่วไป เรือนยอดเป็นรูปร่มหรือทรงกลมกลายๆ ตามกิ่งและก้านอ่อนจะมีขนสีน้ำตาลแดงทั่วไป ส่วนกิ่งแก่เกลี้ยง ใบ เป็นช่อเรียงสลับเวียนกันถี่ๆ ตามปลายกิ่งดูเป็นกลุ่ม ช่อหนึ่ง ยาว 20-27 ซม. ประกอบด้วยแขนงใบย่อยที่ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ๆ 9-13 คู่ แขนงย่อยคู่ต้นๆ จะสั้นกว่าคู่ที่ถัดไป แต่คู่ที่อยู่ที่ปลายช่อก็จะสั้นเช่นกัน ใบย่อยเล็กรูปร่างคล้ายเมล็ดข้าวสารแบนๆ กว้างประมาณ 5 มม. ยาว 10-15 มม. โคนใบเบี้ยว ปลายใบทู่ๆ หลังใบสีเขียวเข้มกว่าท้องใบ โคนก้านใบ ก้านแขนงย่อย และก้านช่อบวม หูใบเป็นเส้นเรียว ดอก สีเหลืองออกเป็นช่อตั้งตรง ขนาดใหญ่ มีกิ่งก้านแขนงมาก อยู่ตามปลายกิ่งหรือตามง่ามใบตอนปลายๆ กิ่ง ยาว 20-30 ซม. กลีบดอกป้อมบางและยับย่น โคนกลีบมีขนสีน้ำตาลประปราย เกสรผู้มี 10 อัน ผล เป็นฝักแบนๆ รูปรี ปลายและโคนสอบแหลม กว้างประมาณ 2 ซม. ยาว 5-12 ซม. สีน้ำตาลอมม่วง เมื่อแก่จัดจนแห้งเป็นเป็นสีน้ำตาลดำ แต่ละฝักมี 1-4 เมล็ด เมล็ดแข็งแรงรูปร่างและขนาดเท่าใบย่อย เรียงตามยาวของฝัก ผลแก่ในเดือนพฤศจิกายน ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม

ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด

สภาพที่เหมาะสม ดินทั่วไป ชอบแสงแดดจัด

ประโยชน์

เนื้อไม้ สีชมพูอ่อน ถึงน้ำตาลแกมชมพู เป็นมันเลื่อม เสี้ยนตรงหรือเป็นคลื่นบ้าง เนื้อหยาบปานกลาง เลื่อยผ่าไสกบตบแต่งง่าย ใช้ทำกระดานปูพื้น เพดาน ฝา เครื่องเรือน และหีบใส่ของ เปลือก มีรสฝาด รับประทานเป็นยาขับโลหิต กล่อมเสมหะและโลหิต กับใช้เป็นยาขับลม ผายลม แก้ท้องร่วง มีผู้ปลูกเป็นไม้ประดับกันมากเพราะพุ่มใบและดอกสวยงาม


ทองกวาว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Butea monosperma (Lam.)Taubert

วงศ์:ตัวหนา LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE

ชื่อสามัญ: Bastard Teak, Bengal Kino, Flame of the Forest[1]

ชื่ออื่นๆ: กวาว ก๋าว (ภาคเหนือ), จอมทอง (ภาคใต้), จ้า (เขมร), ทองธรรมชาติ ทองพรหมชาติ ทองต้น (ภาคกลาง), ดอกจาน (อิสาน)

เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 12-18 เมตร เปลือกต้นเป็นปุ่มปม กิ่งอ่อนมีขนละเอียดสีน้ำตาลหนา การแตกกิ่งก้านไปในทิศทางที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบ

ใบ: เป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ เรียงสลับใบย่อยที่ปลายรูปไข่ กลีบแกมสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ใบย่อยด้านข้างเป็นรูปไม่เบี้ยว กว้าง 8-15 เซนติเมตร ยาว 9-17 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ
ดอก: ออกเป็นช่อคล้ายดอกทองหลาง สีแดงส้ม มีความยาว 6-15 เซนติเมตร มีดอกย่อยเกาะเป็นกลุ่ม เวลาบานมี 5 กลีบ จะออกดอกดกที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี
ผล: ผลมีลักษณะเป็นฝักสีน้ำตาลอ่อน แบน โค้งงอเล็กน้อย ไม่แตก ด้านบนหนาแตกเป็น 2 ซีก มีเมล็ดขนาดเล็กอยู่ภายใน 1 เมล็ด ฝักยาวประมาณ 10-12 เซนติเมตร กว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตร


http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A7



พุทรา

คติความเชื่อ

พุทราเป็นไม้ตามทิศที่ปลูกไว้ทางทิศตะวันตก (ประจิม) ส่วนใหญ่นิยมปลูกคู่กับมะยม คาดว่าคงเพราะผู้คนจะได้นิยมไม่สร่างซากระมัง

ชื่อพื้นเมือง

พุทรา (ไทย) มะตัน, นางต้มต้น, หมากทัน (จำปาศักดิ์), มะตันหลวง, มะท้อง, มะตอง, มะตันต้น (ภาคเหนือ, พายัพ)

ชื่อวิทยาศาสตร์
Zizyphus mauritiana Lamk.

วงศ์

RHAMNACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
พุทราเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ใบกลมโตขนาด 1 นิ้วฟุต ตามต้นและกิ่งก้านมีหนามออกดอกเป็นช่อสีเหลืองเล็กๆ มีกลิ่นเหม็นมาก ผลโตเท่าผลมะไฟงามๆ แต่บางชนิดผลกลม ปลายแหลมคล้ายผลละมุดไทย บางชนิดก็มีรสหวานสนิท บางชนิดก็เปรี้ยวฝาดต่างๆ กัน โดยมากที่เกิดเองในป่ามีรสเปรี้ยว ฝาด

การปลูก

พุทราเป็นไม้ที่มักเกิดขึ้นเองตามป่าราบโดยทั่วไป ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดหรือตอนกิ่ง

ประโยชน์ทางยา
ส่วนที่ใช้เป็นยา เปลือกต้น ใบ ผลดิบ ผลสุก

รสและสรรพคุณในตำรายาไทย

เปลือกต้น, ใบ รสฝาดอมเปรี้ยว แก้อาการจุกเสียด แก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วง แก้อาเจียน
1. ผลดิบ รสฝาด แก้ไข้
2. ผลสุก หวานฝาดเปรี้ยว ขับเสมหะ แก้ไอ เป็นยาระบาย
3. ทั้ง 5 ฝาดเฝื่อน แก้บวม แก้พยาธิ ฝีทั้งปวง แก้ลงท้องตกโลหิต

ขนาดและวิธีใช้

1. แก้ท้องร่วง แก้อาเจียน แพทย์พื้นบ้านใช้เปลือกต้นพุทราต้มรับประทาน
2. ยาแก้ทราบชักของเด็ก ใช้เมล็ดเผาไฟป่นทำเป็นยา
3. แก้หวัดคัดจมูกเวลาเย็นๆ ใช้ใบสดตำสุมศีรษะ
*** ในเวียดนามใช้เมล็ดทำให้สงบ นอนหลับ แก้อ่อนเพลีย ใช้เมล็ดสด 1-2 กรัมหรือเมล็ดแห้ง 6-12 กรัม ทำให้เป็นผง ถ้าแก้หืดใช้ใบแห้ง 20-40 กรัมต่อวันต้มน้ำดื่ม

วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

ตะแบกนา

ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ: ตะแบกนา ตะแบกไข่ เปื๋อยนา เปื๋อยหางค่าง

ลักษณะ: ผลัดใบ สูง 15 - 30 เมตร

ใบ: ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามหรือเยื้องกันเล็กน้อยใบอ่อนสีแดงมีขนสั้นอ่อนนุ่มปกคลุม ใบแก่ขนจะหลุดหายไป แผ่นใบรูปขอบขนานแกมรูปหอก กว้าง 5 - 7 เซนติเมตร ยาว 12 - 20 เซนติเมตร ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนสอบ
ดอก: สีม่วงอมชมพูต่อมาเปลี่ยนเป็นสีขาวหรือเกือบขาว ออกรวมกันเป็นช่อตามปลายกิ่ง ผล รูปรี ยาวประมาณ 2 เซนติเมตร

การขยายพันธุ์: โดยเมล็ด

ประโยชน์:เนื้อไม้ละเอียดแข็ง ใจกลางมักเป็นโพรง ใช้ทำสิ่งปลูกสร้างที่รับน้ำหนัก เสา กระดานพื้น และเครื่องมือการเกษตร และนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ขึ้นประปรายในป่าเบญจพรรณพื้นที่ที่ค่อนข้างชุ่มชื้นทางภาคเหนือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ส่วนภาคตะวันออก และภาคใต้มีขึ้นอยู่มากใน ป่าดงดิบ ป่าน้ำท่วม และตามท้องนา ทั่ว ๆ ไป

ออกดอก กรกฎาคม - กันยายน ไม่แน่นอนแล้วแต่สภาพพื้นที่และสิ่งแวดล้อม เก็บเมล็ดได้ประมาณเดือน ธันวาคมขึ้นไป ผลแก่ จะแตกเพื่อโปรยเมล็ดในราวเดือน มีนาคม

จากเว็บ http://my.dek-d.com/chinjung-jomjun/blog/?blog_id=10025127


นกยูงฝรั่ง

ชื่อวิทยาศาสตร์: Delonix regia (Boj. ex Hook.)

ชื่อสามัญ: Flame Tree, Royal Poinciana, Flamboyant

ชื่ออื่น: นกยูงฝรั่ง อินทรี (ภาคกลาง), ส้มพอหลวง (ภาคเหนือ), หงอนยูง (ภาคใต้)

วงศ์: LEGUMINOSAE-CAESALPINOIDEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้ต้นผลัดใบ สูง 10-18 ม. เปลือกต้นสีเทาเกลี้ยง เรือนยอดแผ่กว้างและกลมคล้ายร่ม

ใบ ใบเรียงเวียนสลับ ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น ใบย่อยขนาดเล็กและมีจำนวนมาก

ดอก ดอกช่อออกที่ปลายกิ่งหรือกิ่งข้าง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ จนาดไม่เท่ากัน กลีบดอก 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน สีแดงอมส้ม สีส้ม สีเหลือง เกสรเพศผู้มี 10 อัน อยู่แยกอิสระ เมื่อดอกบานเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 ซม.

ผล ผลเป็นฝักใหญ่ แบน แข็ง กว้าง 3-5 ซม. ยาว 30-60 ซม. ฝักเมื่อแก่จะแตก เมล็ดเรียงตามขวาง มี 20-40 เมล็ด

ที่มา http://www.whk.ac.th/whk2008/web/science/plant/webcontent3/interactive_key/key/describ/hangnokyungfarang.htm


วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

ไทรทอง

ชื่อพฤกษศาสตร์ Ficus altissima Blume

วงศ์ MORACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไทรทองเป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ สูง 2.5-3 เมตร มีพูพอน เปลือกต้นสีน้ำตาลอมเทาแตกกิ่งกระจายรอบต้น พุ่มทรงกลม ค่อนข้างหนาทึบ มีน้ำยางสีขาว รากอากาศเหนียว ใบ เดี่ยว รูปไข่ กว้าง 10 ซม. ยาว 18 ซม. สีเขียวเข้ม มีหูใบหุ้มยอด ใบอ่อนสีเขียวสดเป็นมัน หูใบหุ้มยอดอ่อนไว้ ดอกช่อ ไม่มีก้านดอก โคนช่อดอกมีใบประดับขนาดเล็ก 3 ใบรองรับช่อดอก ผล สุกแล้วอ่อนนุ่ม สีเหลือง แต่ละผลมีเนื้อบางๆ และมีเมล็ด 1 เมล็ด

การเป็นมงคล

คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นไทรไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความร่มเย็น เพราะคนโบราณได้กล่าวว่า ร่มโพธิ์ ร่มไทร ช่วยทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขนอกจากนี้ยังช่วยคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายทั้งปวงเพราะบางคนเชื่อว่าต้นไทรเป็นต้นไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีเทพารักษ์อาศัยอยู่คอยคุ้มครองพิทักษ์ปวงชนให้มีความอยู่เย็นเป็นสุข

ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก

เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัยควรปลูกต้นไทรไว้ทางทิศตะวัตตกผู้ปลูกควรปลูกในวันอังคารเพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทางใบให้ปลูกในวันอังคาร

การขยายพันธุ์ การปักชำ การตอน การใช้เมล็ด วิธีที่นิยมและได้ผลดีคือ การตอนและการปักชำ

การปลูก

การปลูกมี 2 วิธี

1. การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวนโบราณนิยมปลูกไว้เพื่อประดับบริเวณสวนเพราะเป็นไม้ที่มีการแตก กิ่งก้าน สาขาที่กว้างใหญ่ ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 : 2 ผสมดินปลูก

2. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายในและภายนอกอาคาร ควรใช้กระถางทรงสูงขนาด 12-18 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : แกลบผุ : ดินร่วนอัตรา 1:1:1 ผสมดินปลูกควรเปลี่ยนกระถาง1-2 ปี/ครั้งหรือแล้วแต่ความเหมาะสมของทรงพุ่มทั้งนี้ก็เพราะ การเจริญเติบโตของทรงพุ่มโตขึ้นและเพื่อต้องการเปลี่ยนดินปลูกใหม่ทดแทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป การปลูกทั้ง 2 วิธีดังกล่าวสามารถตัดแต่งและบังคับรูปทรงของทรงพุ่มได้ตามความต้องการผู้ปลูกนอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ด้วยว่าพันธุ์ด้วยว่าพันธุ์ใดจะเหมาะสมกับวิธีการปลูกแบบใด ตามวัตถุประสงค์ผู้ปลูก

การดูแลรักษา

แสง ต้องการแสงแดดอ่อน จนถึงแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง
น้ำ ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง จนถึงมาก ควรให้น้ำ 3-5 วัน/ครั้ง
ดิน ชอบดินร่วนซุย ดินร่วนปนทราย ความชื้นปานกลาง
ปุ๋ย ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5: 2 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ปีละ 4-5 ครั้ง
โรค ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรค เพราะมีความทนทานต่อโรคได้ดี
ศัตรู เพลี้ยแป้ง (Mealy bugs)
อาการ กัดแทะใบ ทำให้ใบเป็นรู เป็นรอย ต่อมาใบจะเหลืองและแห้ง
การป้องกัน การรักษาความสะอาดบริเวณแปลงปลูก การกำจัดพาหนะแพร่ระบาด พวกมดต่างๆ
การกำจัด ใช้ยาไดอาซินอน อัตราและคำแนะนำระบุไว้ตามฉลาก


จากเว็บ http://www.thaigoodview.com


แก้วเจ้าจอม

ชื่อวิทยาศาสตร์: Guaiacum officinale L.

ชื่อสามัญ: Ligmum Vitae

ลักษณะ


ไม้ต้น สูง 10-15 ม. เปลือกต้นสีเทาเข้ม กิ่งมีข้อพองเห็นเป็นปุ่มๆ ทั่วไป ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ มีใบย่อย 2-3 คู่ เรียงตรงข้าม ใบย่อยไม่มีก้าน รูปไข่กลับ รูปไข่กว้าง หรือรูปรีเบี้ยวเล็กน้อย ปลายมน โคนสอบ ขอบเรียบ มีจุดสีส้มที่โคนใบย่อยด้านบน ดอกเดี่ยว ออกเป็นกระจุกที่ยอด 3-4 ดอก สีฟ้าอมม่วงและจะซีดลงเมื่อใกล้โรย กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปไข่ โคนติดกันเล็กน้อย ร่วงง่าย กลีบดอก 5 กลีบ รูปรีหรือรูปไข่ เกสรเพศผู้ 10 อัน แยกกัน เกสรเพศเมียปลายแยกเป็น 5 แฉก ผลแห้งแตก รูปหัวใจกลับ มีครีบ 2 ข้าง สีเหลืองหรือสีส้ม มี 1-2 เมล็ด เมล็ดรูปรี สีน้ำตาล

ประโยชน์

นำมาปลูกในประเทศไทยเป็นไม้ประดับ แก่นไม้สีน้ำตาลถึงดำ แข็งมาก เป็นมัน และหนักมาก ทนต่อแรงอัดและน้ำเค็ม จึงนิยมนำมาใช้ทำกรอบประกับเพลาเรือเดินทะเล หรือกรอบประกับเพลาเครื่องจักรในโรงงานต่างๆ ทำรอก ด้ามสิ่ว และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องการความแข็งแรงมากๆ ยางไม้ใช้เป็นยาขับเสมหะ ยาระบาย ขับเหงื่อ แก้ข้ออักเสบ ใช้ร่วมในยาฟอกเลือด ทำเป็นยาอมแก้ต่อมทอนซิลและหลอดลมอักเสบ ละลายในเหล้ารัมและเติมน้ำเล็กน้อยใช้อมกลั้วคอแก้เจ็บคอ กินแก้ปวดท้อง และใช้ใส่แผล น้ำคั้นจากใบกินแก้อาการท้องเฟ้อ เปลือกและดอกเป็นยาระบาย ยาชงจากดอกเป็นยาบำรุงกำลัง

ฤดูกาลออกดอก

ออกดอกในช่วงเดือนธันวาคม-เมษายน และเดือนสิงหาคม-ตุลาตคม

สภาพการปลูก

แก้วเจ้าจอมชอบอยู่กลางแจ้ง เป็นไม้กลางแจ้ง เติบโตได้ดีในดินร่วนระบายน้ำได้ดี

การขยายพันธุ์

ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดหรือปักชำและ ตอนกิ่ง

การปลูกและดูแลรักษา

ปลูกเป็นไม้กระถางก็ได้หรีอปลูกลงดินก็ได้ วัสดุที่ใช้ปลูก คือ ดินก้ามปู : ปุ๋ยคอกอัตราส่วน 1:2:1

จากเว็บ http://www.thaigoodview.com



ตาเบบูยาพันธุ์ทิพย์ .ชมพูพันธุ์ทิพย์

ชื่ออื่นๆ : ชมพูอินเดีย ตาเบบูยาพันธุ์ทิพย์

ชื่อพฤกษศาสตร์ : Tabebuia rosea (Bertol.) Raf.

วงศ์ : BIGNONIACEAE

ข้อมูลทั่วไป


ชมพูพันธุ์ทิพย์เป็นไม้ต้น ผลัดใบ สูง 8 - 18 เมตร ใบ ออกตรงข้ามสลับฉาก ใบประกอบรูปนิ้วมือ ใบย่อย 5 ใบ ใบย่อยรูปรี โคนใบสอบ ปลายใบเรียวแหลม กว้างประมาณ 5 ซม. ยาวประมาณ 10 ซม. ดอกช่อ ออกตามปลายกิ่ง กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวย ปลายแยกเป็น 5 กลีบ ดอกร่วงง่าย สีชมพู หรือ ม่วงอมชมพู ผล เป็นฝัก แห้ง แตก รูปร่างแคบ แบน ยาวประมาณ 15 ซม.เมื่อแก่แตกเป็น 2 ซีก เมล็ด จำนวนมาก มีปีก ออกดอกเดือน กุมภาพันธ์- เมษายน การขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด ตอนกิ่งหรือ ปักชำ ประโยชน์ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป เนื่องจากดูแลง่ายและดอกสวยงาม เป็นไม้ประดับที่ ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ บริพัตร เป็นผู้นำเข้ามา จึงได้ตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแก่ท่าน ถิ่นกำเนิด อเมริกากลางและอเมริกาใต้




กลับสู่หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ผักกุ่ม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Crateva adansonii DC. subsp. trifoliata (Roxb.) Jacobs

ชื่อสามัญ : Sacred Barnar, Caper Tree

วงศ์ : Capparaceae

ชื่ออื่น : ผักกุ่ม

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้นขนาดกลาง สูง 6-10 ม. ใบประกอบแบบนิ้วมือ มีใบย่อย 3 ใบ ก้านใบประกอบยาว 7-9 ซม. ใบย่อยรูปรีหรือรูปไข่ กว้าง 4-6 ซม. ยาว 7.5-11 ซม. ปลายแหลมหรือเรียวแหลม โคนแหลมหรือสอบแคบ ขอบเรียบ ใบย่อยที่อยู่ด้านข้างโคนใบเบี้ยว แผ่นใบค่อนข้างหนา เส้นแขนงใบข้างละ 4-5 เส้น ก้านใบย่อยยาว 4-5 มม. ช่อดอกแบบช่อกระจะ ออกตามง่ามใบใกล้ปลายยอด ก้านดอกยาว 3-7 ซม. กลีบเลี้ยงรูปรี กว้าง 2-3 มม. ยาว 4-5 มม. เมื่อแห้งมักเป็นสีส้ม กลีบดอกสีขาวอมเขียวแล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือชมพูอ่อน รูปรี กว้าง 0.8-1.5 ซม. ยาว 1.2-1.8 ซม. โคนกลีบเป็นเส้นคล้ายก้าน ยาว 3-7 มม. เกสรเพศผู้สีม่วง มี 15-22 อัน ก้านชูอับเรณูยาวประมาณ 4 ซม. ก้านชูเกสรเพศเมียยาวประมาณ 5 ซม. รังไข่ค่อนข้างกลมหรือรี มี 1 ช่อง ผลกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3.5 ซม. เปลือกมีจุดแต้มสีน้ำตาลอมแดง เมื่อแก่เปลือกเรียบ ก้านผลกว้าง 2-4 มม. ยาว 5-13 ซม. เมล็ดรูปคล้ายเกือกม้าหรือรูปไต กว้างประมาณ 2 มม. ยาวประมาณ 6 มม. ผิวเรียบ

สรรพคุณ

ใบ - ขับลม ฆ่าแม่พยาธิ เช่น พวกตะมอย และทาแก้เกลื้อนกลาก

เปลือก - ร้อน ขับลม แก้นิ่ง แก้ปวดท้อง ลงท้อง คุมธาตุ

กระพี้ - ทำให้ขี้หูแห้งออกมา

แก่น - แก้ริดสีดวง ผอม เหลือง

ราก - แก้มานกษัย อันเกิดแต่กองลม

เปลือก - ใช้ทาภายนอก แก้โรคผิวหนัง


วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

ชมพู่

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์

อาณาจักร Plantae

ส่วน Magnoliophyta

ชั้น Magnoliopsida

อันดับ Myrtales

วงศ์ Myrtaceae

สกุล Syzygium
สปีชีส์ S. jambos

ชื่อวิทยาศาสตร์ Syzygium jambos L. Alston

การปลูกชมพู่

ชมพู่เป็นไม้ผลเขตร้อนซึ่งมีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย เป็นพืชจัดอยู่ตระกูลเดียวกับฝรั่ง หว้า ยูคาลิปตัส เป็นพืชที่ชอบน้ำ จัดเป็นไม้ผลที่มีลำต้นขนาดใหญ่ ดอกมีกลิ่นหอมคล้ายกุหลาบ ผลมีรสชาติหวานกรอบ คนไทยจึงนิยมปลูกเป็นไม้มงคลประจำบ้าน

ชมพู่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ผลนอกจากจะใช้รับประทานสดแล้ว ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้เช่น เยลลี่ แยม และแช่อิ่ม เป็นต้น

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

ชมพู่เป็นไม้ผลที่สามารถเจริญเติบโตได้ในทุกสภาพพื้นที่ แต่จะเจริญเติบโตได้ดีที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ ดินที่เหมาะสมคือดินร่วนปนทราย ดินร่วนเหนียว ในบริเวณที่ราบลุ่มภาคตะวันตก สภาพความเป็นกรดเป็นด่างอยู่ระหว่าง 6.5 - 7

สถานการณ์การผลิตและการตลาดชมพู่

ชมพู่เป็นพืชที่สามารถปลูกได้ทั่วไปในพื้นที่มีน้ำและดินอุดมสมบูรณ์ ในปี 2538 มีพื้นที่ปลูกทั้งประเทศ 30,054 ไร่ ผลผลิต 36,309 ตัน จังหวัดที่ปลูกชมพู่มากได้แก่ จังหวัดนครปฐม ราชบุรี และสมุทรสาคร สำหรับตลาดชมพู่นั้น ส่วนใหญ่เป็นตลาดภายในประเทศ ได้แก่ ตลาดประจำจังหวัดต่าง ๆ ตลาดกลางกรุงเทพฯ ได้แก่ ตลาดสี่มุมเมือง ปากคลองตลาด ตลาดไทย เป็นต้น ราคาชมพู่ในช่วงฤดูกาลอยู่ที่ประมาณ 20 - 25 บาท ส่วนนอกฤดูกาลราคาประมาณ 50 - 80 บาท แล้วแต่ชนิดของพันธุ์

ส่วนตลาดส่งออกยังมีไม่มากนักทั้งนี้เพราะชมพู่เป็นผลไม้ที่อบช้ำและเน่าเสียง่าย แต่มีการส่งออกไปแถบฮ่องกง สิงคโปร์ อินโดนีเซีย อยู่บ้าง

ต้นทุนและผลตอบแทน

ต้นทุนในการผลิตชมพู่ ประมาณ 3,400 บาท / ไร่

ผลตอบแทน ประมาณ 23,400 บาท / ไร่

ทั้งนี้คิดจากราคาจำหน่ายที่ 13.70 บาท


พันธุ์

1. พันธุ์ดั้งเดิม

1.1 ชมพู่มะเหมี่ยว เป็นชมพู่ที่ทีขนาดลำต้นใหญ่ ใบกว้างหนาเป็นมัน ดอกสีแดง ก้านดอกสั้น ออกดอกเป็นกลุ่มตามกิ่ง ผลแก่จะมีสีแดงเข้ม มีกลิ่นหอมเหมือนดอกกุหลาบ เนื้อนุ่มฉ่ำน้ำ เมล็ดโต รสชาติหวานอมเปรี้ยว

1.2 ชมพู่สาแหรก เป็นชมพู่ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับชมพู่มะเหมี่ยว แตกต่างกันที่ ชมพู่สาแหรกมีสีแดงอมชมพูมีริ้วจากขั้วมาที่ก้นผล เนื้อผลสีขาวนุ่ม รสชาติหอมหวาน ลำต้นและใบคล้ายชมพู่มะเหมี่ยว กิ่งแขนงตั้งฉากกับลำต้น

1.3 ชมพู่น้ำดอกไม้ เป็นชมพู่ที่ทรงพุ่มขนาดปานกลาง ใบเล็กเรียวยาว สีเขียวเข้มเป็นมัน ดอกสีขาวอมเหลือง มีกลิ่นหอม ผลเมื่อแก่มีสีขาวอมเหลืองหรือมีสีชมพูปนบ้าง รสชาติหวานเนื้อบางกรอบ มีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นดอกกุหลาบ เมล็ดโต ปัจจุบันมีปลูกเป็นการค้าอยู่ไม่มาก

2. พันธุ์ทางการค้า

2.1 ชมพู่เพชรสายรุ้ง เป็นชมพู่มีทรงพุ่มขนาดปานกลาง ตัวใบบางทรงรี ดอกสีขาว ผลแก่จะมีสีเขียวมีริ้วสีชมพู ถ้าหากห่อผลจะทำให้ผลมีสีขาวริ้วอมชมพู ผลทรงระฆังมีเมล็ดอยู่ภายใน รสชาติหวานจัด เนื้อกรอบแข็ง เป็นพันธุ์ที่ปลูกเป็นการค้าในแถบจังหวัดเพชรบุรี

2.2 ชมพู่พันธุ์ทูลเกล้า เป็นชมพู่ในกลุ่มเดียวกันกับชมพู่เพชร ทรงผลยาวรีให้ผลเร็ว ออกดอก ติดผลง่าย รสชาติไม่หวานจัด ปลูกมากแถบจังหวัดนครปฐม สมุทรสาคร และราชบุรี

2.3 ชมพู่เพชรสามพราน ซึ่งมีลักษณะคล้ายชมพู่เพชร แต่ผลโตผิวมันสีเขียวอมชมพู เนื้อกรอบรสชาติหวาน เป็นพันธุ์ใหม่ ปัจจุบันมีปลูกเป็นการค้าโดยทั่วไปแถบจังหวัดนครปฐม ราชบุรี สมุทรสาคร

2.4 ชมพู่เพชรน้ำผึ้ง เป็นชมพู่สีแดง ที่นำเข้ามาจากประเทศมาเลเซีย ทรงผลยาว ก้นผลปิดมีช่องว่างสำหรับเมล็ดน้อย ไม่มีเมล็ด เนื้อกรอบฉ่ำน้ำ รสชาติหวานซึ่งความหวานประมาณ 10.4 องศาบริกซ์ สีผลเมื่อแก่แดงเข้มผิวเป็นมัน

2.5 พันธุ์ทับทิมจันทร์ เป็นพันธุ์ที่นำมาจากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นชมพู่ที่มีสีแดงเข้ม ทรงผลยาวคล้ายเพชรน้ำผึ้ง พันธุ์ทับทิมจันทร์ มีลักษณะดีกว่าพันธุ์เพชรน้ำผึ้งคือ ผลโต เนื้อแน่นกรอบกว่า และมีความหวานสูงถึง 14 องศาบริกซ์ ซึ่งสูงกว่าเพชรน้ำผึ้งมาก การออกผลทะวายทั้งปี

การขยายพันธุ์

1. การตอนกิ่ง เป็นวิธีที่นิยมใช้ขยายพันธุ์ชมพู่มาช้านาน และยังใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยการตอนนี้เริ่มจากการคัดเลือกกิ่งกระโดงหรือกิ่งที่แข็ง ช่วงอายุเพสลาดคือ กิ่งอ่อน กิ่งแก่ สีเขียวอมน้ำตาล และควั่นรอบกิ่ง 2 รอย หางเท่ากับเส้นรอบวงของกิ่ง และกรีดลอกเปลือกระหว่างควั่นออก ขูดเยื่อเจริญออกมาให้หมด หุ้มด้วยขุยมะพร้าวชุ่มน้ำในถุงที่ผ่ากลางถุงแล้ว มัดด้วยเชือกเป็น 2 เปลาะประมาณ 30 - 45 วัน ก็จะเริ่มออกราก เมื่อรากแก่เป็นสีน้ำตาลแล้วจึงตัดกิ่งไปชำต่อไป

2. การปักชำ เป็นวิธีที่นิยมกันเช่นเดียวกับฝรั่ง โดยตัดกิ่งอ่อนสีเขียวที่มีใบ 3 คู่ แล้วปลิดคู่ล้างออก แล้วจุ่มในฮอร์โมนเร่งราก IBA ชนิดเข้มข้นสำหรับเร่งราก ปักชำไว้ในถุงขี้เถ้าแกลบ ประมาณ 1 เดือน ก็จะออกราก แล้วย้ายไปชำต่อในภาชนะต่อไป ปัจจุบันมีผู้รับจ้างชำกิ่งละ 4 - 5 บาท

3. การต่อกิ่งแบบไซด์วีเนียร์ เป็นวิธีการขยายพันธุ์ที่ใช้สำหรับการเปลี่ยนยอดพันธุ์ชมพู่จากพันธุ์หนึ่ง ไปอีกพันธุ์หนึ่งตามที่ต้องการ วิธีการนี้ต้นพันธุ์ที่จะต้องเปลี่ยนควรลอกเปลือกออกได้ง่าย มีขั้นตอนดังนี้

3.1 กรีดเปลือกต้นที่ต้องการจะเปลี่ยนพันธุ์ลงตามยาว 2 แนวขนานกัน แต่ละแนวห่างกันพอที่จะสอดกิ่งยอดพันธุ์ดีที่จะนำมาเปลี่ยนได้พอดี โดยลอกเปลือกออกจากบนลงล่างตัดเหลือเป็นบ่า

3.2 นำยอดพันธุ์ดีซึ่งมีตาที่พักตัว (แก่) ตัดเป็นแนวยาวเอียงเป็นรูปปากฉลาม และตัดอีกด้านหนึ่งเล็กน้อย โดยยอดพันธุ์ดีควรมีตาดหลืออยู่อย่างน้อย 2 ตา แล้วสอดยอดตาพันธุ์ดีลงในแผลต้นที่ต้องการจะเปลี่ยน

3.3 พันด้วยพลาสติกให้แน่นจากล่างขึ้นบนแบบมุงหลังคา โดยพลาสติกต้องหุ้มรอยแผลและยอดพันธุ์ที่สอดไว้แล้วทั้งหมดประมาณ 15 วัน จึงทำการตรวจสอบการติดของเนื้อเยื่อยอดตา พันธุ์ดีกับรอยแผล ถ้าติดยอดตาพันธุ์ดีจะมีสีเขียว ให้กรีดพลาสติกที่อยู่เหนือและข้างยอดตาพันธุ์ดีแล้วจึงตัดยอดต้นที่ต้องการเปลี่ยนทิ้ง เพื่อให้ตาพันธุ์ดีพัฒนาเป็นกิ่งหรือลำต้นใหม่ต่อไป

การปลูก

1. การเตรียมแปลงปลูก

ในการปลูกชมพู่สามารถปลูกได้ทั้งแบบยกร่องในที่ราบลุ่มภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ซึ่งการปลูกแบบยกร่องนี้ส่วนหลังร่องกว้างประมาณ 3 เมตร ร่องน้ำกว้าง 1 - 1.50 เมตร มีแนวชายร่องข้างละ 0.50 เซนติเมตร ซึ่งหลังยกร่องแล้วควรตากดินไว้ 1 เดือน แล้วจึงพลิกหน้าดินให้ดินล่างลงไปอยู่ด้านล่างและดินบนซึ่งถูกทับขณะขุดร่องกลับมาอยู่ด้านบนตามเดิม ช่วงพลิกดินนี้เองชาวสวนสามารถทำการปรับสภาพดินโดยใส่ปูนขาวและใส่ปุ๋ยคอกลงไปในดินได้เลย

สำหรับพื้นที่ดอนควรไถพรวนพร้อมทำการปรับสภาพดินและใส่ปุ๋ยคอกไปเลย

2. กำหนดระยะปลูก

2.1 แบบยกร่องนั้น ส่วนใหญ่ใช้ระยะห่างระหว่างต้น 4 เมตร

2.2 บนพื้นที่ดอนใช้ระยะ 4 * 4 เมตร หรือ 6 * 6 เมตร แล้วแต่สภาพความอุดมสมบูรณ์ของดินด้วย ถ้าดินอุดมสมบูรณ์ควรปลูกระยะ 6 * 6 เมตร

3. การเตรียมหลุมปลูก

โดยทั่ว ๆ ไปหลุมปลูกจะใช้ขนาด 50 * 50 * 50 กว้าง * ยาว * ลึก โดยแยกดินหน้าไว้ข้างหนึ่งและดินล่างไว้อีกข้างหนึ่ง แล้วเอาปุ๋ยคอกประมาณ 50 กิโลกรัม ผสมกับหน้าดินอัตราส่วน 1 : 1 และปุ๋ยร็อคฟอสเฟต 500 กรัม กลบลงไปในหลุมจนพูน

4. การปลูก

นำต้นพันธุ์ชมพู่ที่คัดเลือกไว้แล้ว นำมาถอดภาชนะเพาะชำออกแล้ว ตรวจดูว่ามีรากขดหรือไม่แล้วขยายรากออก หันทิศทางของกิ่งให้เหมาะสม แล้วฝังลงในดินในหลุมที่เตรียมไว้ โดยให้ระดับสูงกว่าระดับดินเดิมเล็กน้อย แล้วนำดินล้างมาเติมบนปากหลุมจนพูน แล้วอัดดินให้แน่นปักไม้และผูกเชือกยึดลำต้น พร้อมปักทางมะพร้าวพรางแสงในทิศทางตะวันออกและตะวันตก เสร็จแล้วรดน้ำให้ชุ่มทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ต้นชมพู่ที่ปลูกใหม่เหี่ยวเฉาได้ หลังจากชมพูตั้งตัวได้แล้วจึงค่อยนำทางมะพร้าวออก

การปฏิบัติดูแลรักษา

1. การให้น้ำ เนื่องจากชมพู่เป็นพืชชอบน้ำ ดังนั้นในการผลิตชมพู่จึงจำเป็นต้องมีการให้น้ำชมพู่อย่างสม่ำเสมอ วิธีการให้น้ำย่อมแตกต่างไปตามวิธีการปลูก และสภาพพื้นที่ซึ่งจำแนกออกเป็น 3 วิธี ใหญ่ ๆ ดังนี้

1.1 เรือพ่นน้ำ วิธีนี้เป็นวิธีที่เหมาะสมสำหรับการให้น้ำในร่องสวนในที่ราบลุ่มภาคกลาง ภาคตะวันตกและภาคตะวันออก วิธีนี้ต้องคำนึงถึงความแรงน้ำที่จะพ่นออกมา ถ้าแรงเกินไปจะทำให้หน้าดินแน่นและเกิดการชะล้างปุ๋ยไปจากหน้าดิน

1.2 สายยาง วิธีนี้เหมาะสำหรับการปลูกชมพู่ในที่ดอนและเป็นสวนขนาดเล็ก เป็นวิธีที่สะดวกแต่ต้องคอยเปลี่ยนตำแหน่ง และหลุมปลูกเป็นระยะ ๆ ไป ต้องคำนึงถึงแรงดันน้ำและปริมาณที่ให้ โดยต้องคำนึงถึงการชะล้างที่อาจจะเกิดที่บริเวณหน้าดินได้

1.3 แบบหัวพ่นฝอย แบบมินิสปริงเกอร์ (Mini springker) วิธีนีนิยมกันมากวิธีหนึ่ง เพราะประหยัดแรงงานและเวลา และยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง ลดการชะล้างของแรงน้ำที่มีต่อปุ๋ยในแปลง อีกทั้งสามารถควบคุมปริมาณน้ำได้ถูกต้อง นอกจากนี้วิธีนี้ยังสามารถให้ปุ๋ยผสมไปกับน้ำได้เลย แต่อย่างไรก็ตาม ในการใช้ระบบน้ำต้องเสียค่าติดตั้งมากกว่าวิธีอื่น ๆ

ในการผลิตชมพู่เป็นการค้าเพื่อให้ได้ชมพู่มีคุณภาพดีเป็นที่ต้องการของตลาด เกษตรกรจำเป็นต้องมีการให้ปุ๋ยอย่างถูกต้อง และเหมาะสมกับความต้องการของต้นชมพู่ สามารถจำแนกเป็น 2 ประเภท

1. ปุ๋ยคอก ซึ่งนอกจากใส่เตรียมหลุมปลูกแล้ว เกษตรกรควรใส่ปุ๋ยคอกอีกประมาณ 5 - 10 กก. / ต้น ชนิดปุ๋ยคอกแล้วแต่จะสามารถจัดหามาได้ เช่น ปุ๋ยมูลไก่ มูลหมู และมูลวัว เป็นต้น แต่ที่สำคัญของการให้ปุ๋ยคอกนั้น ปุ๋ยคอกทุกชนิดต้องสลายตัวเรียบร้อยแล้ว

2. ปุ๋ยเคมี สำหรับการใส่ปุ๋ยเคมีนี้เกษตรกรควรพิจารณาตามระยะการเติบโต และอายุของต้นชมพู่และปริมาณผลผลิตที่ให้ในฤดูกาลที่ผ่านมาด้วย ก็จะช่วยให้สามารถคำนวณปริมาณได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น จึงแบ่งออกเป็น

2.1 สำหรับต้นชมพู่ที่ยังไม่ให้ผล ช่วงนี้ชมพู่ต้องการปุ๋ยเพื่อการเจริญเติบโตทางด้านลำต้น กิ่ง ใบ เป็นหลัก ปุ๋ยเคมีควรใช้สูตรเสมอ เช่น 15 - 15 - 15 หรือ 16 - 16 - 16 โดยให้ปริมาณครึ่งหนึ่งของอายุต้น ดังนั้นชมพู่ที่ปลูกปีแรกควรให้ปุ๋ยเคมีประมาณ 500 กรัม โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง ในช่วงต้นฤดูฝน 1 ครั้ง และปลายฤดูฝนอีก 1 ครั้ง

2.2 ในต้นที่ให้ผลแล้วอายุ 2 ปี ขึ้นไป

ช่วงก่อนหลังเก็บผล ต้องมีการบำรุงต้น กิ่ง ก้าน ใบ ควรใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ 15 - 15 - 15 หรือ 16 - 16 - 16 ในอัตราครึ่งหนึ่งของอายุต้นหรือประมาณ 500 กรัม / ต้น

ช่วงก่อนออกดอก เพื่อให้ชมพู่ออกดอกมากขึ้นนั้น ควรใส่ปุ๋ยที่มีตัวกลางสูง เช่น 12 - 24 - 12 หรือ 8 - 24 - 24 ในอัตราส่วน 200 - 300 กรัม / ต้น

ช่วงพัฒนาผล หลังจากชมพู่ติดผลแล้วนั้น ผลจะมีการพัฒนาในระยะแรก จะมีการขยายขนาดใหญ่ขึ้น เกษตรกรควรใส่ปุ๋ยสูตร 15 - 15 - 15 หรือ 16 - 16 - 16 ปริมาณ 200 - 300 กรัม / ต้น หลังผลใหญ่ขึ้นแล้วก่อนที่เก็บผล 1 เดือน เกษตรกรควรใส่ปุ๋ยตัวท้ายสูงเช่น สูตร 13 - 13 - 21 ปรือ 14 - 14 - 21 ปริมาณ 200 - 300 กรัม / ต้น

3. ปุ๋ยทางใบ เป็นปุ๋ยที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว ของการเจริญเติบโตของชมพู่ เช่น การใช้ไทโอยูเรีย เพื่อการเร่งให้ชมพู่แตกใบอ่อนพร้อมกัน หรือการพัฒนาผลชมพู่ให้มีคุณภาพดี ในพื้นที่บางแห่งที่มีน้ำไม่เพียงพอก็สามารถใช้ปุ๋ยทางใบสูตร 15 - 30 - 30 อัตรา 20 กรัม / น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 2 ครั้ง ควรห่างกันครั้งละ 7 วัน และไม่ควรงดการให้ปุ๋ยก่อนเก็บเกี่ยว 2 สัปดาห์

วิธีการใส่ปุ๋ย

1. ปุ๋ยคอก นอยมหว่านในบริเวณทรงพุ่มและนอกทรงพุ่มเล็กน้อย ซึ่งควรมีการพรวนดินห่างจากชายทรงพุ่มออกไปเล็กน้อย ประมาณ 30 เซนติเมตร

2. ปุ๋ยเคมี ขุดเป็นวงแหวนรอบชายทรงพุ่ม หรือเจาะเป็นหลุม ๆ ตามแนวทรงพุ่ม แล้วโรยปุ๋ยลงไปแล้วกลบดินเพื่อป้องกันการสูญเสียปุ๋ยไป โดยการระเหิดหรือถูกชะล้างโดยน้ำที่ให้หรือฝนตก

3. ปุ๋ยทางใบ ควรผสมปุ๋ยตามฉลากแนะนำ ควรผสมสารจับใบ และควรทำการฉีดพ่นในช่วงเช้าก่อนแดดจัด ไม่ควรใช้ปุ๋ยทางใบในอัตราที่เข้มข้นมากเกินไป เพราะจะทำให้ชมพู่ใบไหม้ได้

การพรวนดิน

การพรวนดินนั้นจะทำให้ดินร่วน รากชมพู่สามารถแผ่ขยายไปหาอาหารได้กว้างขึ้นจากเดิม อีกทั้งช่วยให้เก็บปุ๋ยที่ใส่ลงไปในดิน ในการพรวนนั้นควรทำปีละ 1 - 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งควรพรวนห่างแนวชายทรงพุ่มเดิมออกไปอีกประมาณ 30 เซนติเมตร การพรวนแบบนี้ควรใช้จอบใบพรวนในระดับหน้าดินตื้น ๆ

การกำจัดวัชพืช

การกำจัดวัชพืชช่วยให้ชมพู่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ลดปริมาณโรคแมลงที่อาศัยอยู่กับวัชพืชได้ สามารถจำแนกออกเป็น 3 วิธี ดังนี้

1. วิธีกล โดยการถอน ดาย ถาง วัชพืชออกจากทรงพุ่ม และแปลงปลูกชมพู่ วิธีนี้ควรหมั่นทำตั้งแต่วัชพืชมีขนาดเล็กไปเรื่อย ๆ เหมาะสมกับการปลูกชมพู่แปลงเล็ก วิธีนี้นอกจากจะไม่ต้องลงทุนมากแล้ว ยังช่วยลดปัญหาสารพิษตกค้างได้อีกด้วย

2. วิธีทางเขตกรรม วิธีนี้เป็นวิธีใช้การปลูกพืชหมุนเวียน เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมของวัชพืชในแปลงปลูก สามารถใช้ได้กับชมพู่ที่มีขนาดเล็ก พืชที่นิยมปลูกกันได้แก่ พืชผักต่าง ๆ รวมทั้งพืชตระกูลถั่ว ซึ่งจะทำให้ดินมีไนโตรเจนมากขึ้น เมื่อชมพู่มีขนาดใหญ่ขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องปลูกพืชหมุนเวียนอีกต่อไป

3. วิธีทางเคมี เป็นวิธีหนึ่งที่สะดวกรวดเร็ว อาจจะส่งผลให้มีสารพิษตกค้างในดินและน้ำได้ การกำจัดวัชพืชวิธีเคมีสามารถจำแนกเป็น 2 ระยะ

3.1 ก่อนทำการปลูกชมพู่ ซึ่งสามารถใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชได้

3.2 ใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชชนิดเลือกทำลาย ในช่วงชมพู่โตแล้วควรฉีดนอกชายพุ่ม ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้สารเคมีกำจัดวัชพืชนั้น อัตราความเข้มข้นควรเป็นไปตามคำแนะนำ

การตัดแต่งกิ่ง

การตัดแต่งกิ่งนอกจากทำให้ได้ทรงพุ่มตามต้องการแล้ว ยังช่วยลดปริมาณโรคแมลง อีกทั้งทำให้ชมพู่ออกดอกติดผลดีมีคุณภาพอีกด้วย สามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้

1. การตัดแต่งเพื่อบังคับทรงพุ่ม ควรเริ่มทำเมื่อชมพู่มีขนาดเล็กหลังจากปลูกใหม่ โดยการเลี้ยงลำต้นประธานเพียงต้นเดียว และที่ความสูงจากพื้นดิน 50 เซ็นติเมตร ให้ตัดยอดชมพู่จะทำให้กิ่งที่แตกแขนงมาใหม่ 2 กิ่ง ที่ระยะ 6 - 12 นิ้ว ให้ตัดกิ่งทั้ง 2 แล้ว ให้แตกเพิ่มเป็น 4 กิ่ง ทำอย่างนี้ไปจะได้กิ่งแขนง 8 ตามลำดับ ซึ่งจะทำให้ต้นชมพู่มีโครงสร้างแข็งแรง และไปรอแสงส่องผ่านกิ่งโคนต้นได้ การปฏิบัติงานใต้ทรงพุ่มสะดวก

2. การตัดแต่งเพื่อการออกดอกและติดผลที่มีคุณภาพ การตัดแต่งแบบนี้จะใช้ในชมพู่ที่ให้ผลแล้ว ซึ่งควรทำปีละ 2 ครั้ง โดยเลือกตัดแต่งกิ่ง ดังนี้

2.1 กิ่งแก่ที่เคยให้ผลแล้ว และไม่สามารถให้ผลอีกต่อไป

2.2 กิ่งแซมในทรงพุ่มขนาดเล็ก

2.3 กิ่งไขว้ หรือกิ่งซ้อนทับกัน ให้เลือกกิ่งที่เป็นโครงสร้างหลักไว้

2.4 กิ่งที่โรคแมลงหรือกาฝากอาศัย

2.5 กิ่งฉีกหัก หรือกิ่งแห้ง

2.6 กิ่งน้ำค้างหรือกิ่งกระโดงที่เจริญเติบโตจากในทรงพุ่มทะลุออกเหนือทรงพุ่ม

2.7 ส่วนยอดที่สูงจากพื้นดินเกิน 2 เมตร

การปลิดผล

ในการออกดอกชมพู่จะออกบริเวณกิ่ง ในทรงพุ่มหลังจากดอกได้รับการผสมแล้วก็จะติดเป็นผล ที่มีขนาดเล็กมีลักษณะคล้ายถ้วย หลังจากนั้นผลจะขยายใหญ่มีสีเข้มขึ้น เกษตรกรควรทำการปลิดผลที่ถูกโรคแมลงทำลาย ผลที่มีขนาดเล็กหรือรูปร่างผิดปกติออก โดยเหลือไว้ช่อละ 3 - 4 ผลเท่านั้น กรณีที่ช่อผลอยู่ติดกันมากไม่ควรเก็บไว้ ให้เลือกปลิดช่อที่มากเกินไปออกเสียบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดการแย่งอาหารกันเองทำให้ผลมีขนาดเล็ก

การห่อผล

การห่อนี้ควรจะทำควบคู่กับการปลิดเลยในเวลาเดียวกัน ในการห่อผลนี้เกษตรกรจะเลือกถุงพลาสติกกรอบแกรบสีขาวขุ่นเจาะ 2 รู เพื่อให้น้ำออก ก่อนห่อควรพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดโรคและแมลงก่อน แล้วจึงห่อด้วยถุงพลาสติกดังกล่าว โดยผูกปากถุงด้วยเงื่อนชั้นเดียว ขนาดถุงควรเป็นขนาด 6 * 11 นิ้ว

ในบางกิ่งที่ผลชมพู่อาจได้รับอันตราย จากแสงแดดเผาให้ผิวเสียหาย ควรห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ด้านนอกอีกชั้นหนึ่งด้วย
เทคนิคช่วยให้ชมพู่มีคุณภาพดี

1. ตัดแต่งช่อผลตั้งแต่เริ่มติดผล โดยไว้ผลประมาณ 3 - 4 ผลต่อช่อ และจำนวนช่อดอกไม่ควรมากเกินไป โดยให้สัมพันธ์กับทรงพุ่มและความสมบูรณ์ของต้น

2. การใช้จีเอพ่นประมาณ 1 - 3 ช่วง คือช่วงเริ่มออกดอก ดอกเริ่มบาน และหลังดอกบานแล้ว 2 สัปดาห์ เพื่อทำให้ทรงผลยาวและขยายขนาดขึ้น

3. การให้ปุ๋ยทั้งทางดินและทางใบอย่างเพียงพอ มิฉะนั้นอาจทำให้ผลร่วงได้ง่าย

4. การห่อผลทำให้ผิวสวยป้องกันการทำลายของแมลงอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือแมลงวันทอง

5. ควรงดการให้น้ำช่วงก่อนการเก็บเกี่ยว 3 - 5 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพดิน ถ้าดินเหนียวควรงดการให้น้ำนานกว่านี้อาจเป็น 5 - 7 วัน

การเก็บเกี่ยวและการจัดการผลชมพู่หลังการเก็บเกี่ยว

หลังจากชมพู่อายุพร้อมที่จะเก็บเกี่ยว คือ มีอายุ วันผลเต่งอวบ สีซีด ในบางพันธุ์มีสีขาว บางพันธุ์มีสีแดงหรือชมพู ผิวเป็นมันเงา มีความหวานสูง เกษตรกรควรทำการเก็บ หากทิ้งไว้เกินอายุการเก็บเกี่ยว จะทำให้ผลชมพู่แตกหรือร่วงเสียหายได้ การเก็บควรใช้กรรไกรตัดขั้ว จะสะดวกและรวดเร็ว

การเก็บนั้นเกษตรกรควรเก็บมาทั้งถุงที่ห่อชมพู่แล้วใส่เข่งที่กรุด้วยกระสอบปุ๋ย เพื่อป้องกันความคมของภาชนะที่จะทำให้ผิวชมพู่บอกช้ำได้ จากนั้นจึงนำผลชมพู่มายังโรงพักผลผลิต แล้วทำการคัดเลือกชมพู่ โดยเริ่มที่

1. แกะถุงห่อชมพู่ออก

2. คัดคุณภาพโดยคัดผลแตก ผลเป็นโรคและแมลงทำลาย ทั้งนี้รวมทั้งผลที่มีรูปร่างผิดปกติออก

3. คัดขนาด

4. บรรจุลงเข่งไม้ไผ่ หรือตะกร้าพลาสติกที่ด้านข้ากรุด้วยใบตองหรือกระดาษ แล้วปิดทับด้านหน้าด้วยพลาสติก เพื่อรักษาความชื้นของชมพู่ไว้

5. ชั่งน้ำหนักพร้อมเขียนป้ายประจำเข่ง หรือตะกร้าพลาสติก เพื่อบอกน้ำหนัก ชื่อพันธุ์ และขนาดผล เก็บไว้ในที่ร่มพร้อมที่จะขนส่งสู่ตลาดต่อไป
การผลิตชมพู่นอกฤดู

ในประเทศไทยชมพู่จะออกดอกเป็น 2 รุ่นใหญ่ ๆ ดังนี้

รุ่นแรก ประมาณปลายเดือนธันวาคม - มกราคม เก็บผลในเดือน กุมภาพันธ์ ถึงมีนาคม

รุ่นที่ 2 จะออกดอกในเดือนกุมภาพันธ์และเก็บผลในเดือน เมษายน - พฤษภาคม

แต่เดิมเกษตรกรได้พยายามคิดค้นวิธีการทำนอกฤดู เช่น การตัดแต่งกิ่ง การกักน้ำ การใส่ปุ๋ย ตลอดจนการใช้สารเคมี
การใช้สารเคมี

สำหรับการใช้สารเคมี กฤษฎา ทัสนารมย์ (2537) รายงานว่า มีการทดลองใช้สารพาโคลบิวทราโซล กับชมพู่พันธุ์ทูลเกล้าอายุ 3 ปี โดยใช้สารเข้มข่น 1, 2 และ 4 กรัม ของสารออกฤทธิ์ และพ่นทางใบระดับความเข้มข้น 0.5, 1.0 และ 2 ซีซี. / น้ำ 20 ลิตร ที่ใบมีอายุ 40 - 90 วันหลังการตัดแต่งกิ่ง ทำให้ดอกในช่วง 60 วัน หลังให้สาร โดยระดับความเข้มข้น 4 กรัม / ต้น โดยราดลงดิน 2 ซีซี. / น้ำ 1 ลิตร ฉีดพ่นทางใบให้ดอกสูงกว่าความเข้มข้นระดับอื่น ๆ

ในชมพู่เพชร ประทีป กุณาศล ได้ทำการทดลองใช้สารพาโคลบิวทราโซล กับชมพู่เพชรอายุ 7 ปีขึ้นไป และ 2 - 4 ปี โดยใช้สารจำนวน 30 ซีซี. ผสมน้ำ 2 ลิตร กับทรงพุ่มที่มีขนาดผ่าศูนย์กลาง 2 - 3 เมตร โดยราดสารในเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม ชมพู่แทงช่อในเดือนสิงหาคม - ตุลาคม ซึ่งต้นที่ได้รับสารจะออกดอก 90% ขณะที่ต้นที่ไม่ได้รับสาร ออกเพียง 5% ชมพู่ไม่แสดงอาการผิดปกติ ยกเว้นข้อใบสั้นลงเท่านั้น อย่างไรก็ตามหลังให้สารแก่ต้นชมพู่แล้วประมาณ 1 เดือน ควรให้ปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสสูงได้แก่ 12 - 24 - 12 , 8 - 24 - 24 หรือ 9 - 24 - 24 เพื่อให้ต้นชมพู่เตรียมพร้อมในการ
โรคและแมลงศัตรูชมพู่

1. โรคชมพู่ สำหรับโรคที่สำคัญที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชมพู่ได้แก่

1.1 โรคแอนแทรคโนส เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อรา โดยจะพบการทำลายบนผลชมพู่ที่ห่อไว้เป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่ต้นและใบไม่ค่อยพบร่องรอยการทำลาย ลักษณะที่ปรากฏบนผลจะมีการเน่าสีดำ แผลจะยุบตัวเล็กน้อย มีวงสปอร์สีดำเป็นวง ๆ ซ้อนกันบางครั้ง อาจพบเมือกสีแสดด้วย

การป้องกันกำจัด ควรฉีดพ่นผลก่อนห่อด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา เบนโนมิล แคบแทน ค็อปเปอร์อ๊อกซี่คลอไรด์

2. แมลงศัตรูชมพู่

2.1 แมลงค่อมทอง เป็นด้วงงวงชนิดงวงสั้น ลำตัวสีเขียวเหลืองทอง รูปไข่ ขนาดลำตัวกว้าง 0.5 มิลิเมตร ยาว 1.30 - 1.50 เซนติเมตร มักพบอยู่เป็นคู่ ๆ การทำลายตัวแก่ชอบกัดกินใบอ่อนยอดอ่อน ทำให้เว้าแหว่ง

การป้องกันกำจัด โดยเขย่าต้น เก็บตัวแก่ทำลาย กรณีระบาดอย่างรุนแรง พ่นสารเคมีคาร์บาริล (เซฟวิน 85% WP) อัตรา 60 กรัม / น้ำ 20 ลิตร หรือ เมธาไมโดฟอส (ทามารอล 600 56% WP) อัตรา 20 มิลิลิตร / น้ำ 20 ลิตร หรือโมโนโครโตฟอส อัตรา 30 มิลิลิตร / น้ำ 20 ลิตร

2.1 ด้วงม้วนใบ เป็นด้วงงวงชนิดส่วนคอยาว ขนาดเล็กลำตัวสีน้ำตลา มีจุดสีเหลืองบนปีกทั้ง 2 ข้าง ส่วนงวงยาวเกือบเท่าลำตัว

การทำลาย ตัวเมียจะกัดใบเป็นรูเล็ก ๆ แล้ววางไข่ 2 - 3 ฟองในใบม้วน ตัวอ่อนเจริญกัดกินในใบ และเข้าเป็นดักแด้ในใบม้วน

การป้องกันกำจัด เก็บใบม้วนเผาทำลาย กรณีระบาดรุนแรง ควรพ่นด้วยสารเคมีคาร์บาริล(เซฟวิน 85% WP) อัตรา 60 กรัม / น้ำ 20 ลิตร หรือ เมธาไมโดฟอส (ทามารอล 600 56% WP) อัตรา 20 กรัม / น้ำ 20 ลิตร

2.3 เพลี้ยไฟ เป็นแมลงปากดูดขนาดเล็กมาก รูปร่างคล้ายเข็ม ตัวแก่มีปีก มักจะเข้าทำลายยอดอ่อน ใบอ่อน โดยดูดกินน้ำเลี้ยงทำให้ใบแห้งตาย หรืองิก บิดเบี้ยว แคระแกร็น

การป้องกันกำจัด โดยการใช้สารเคมีคาร์บาริล(เซฟวิน 85% WP) อัตรา 60 กรัม / น้ำ 20 ลิตร หรือ โมโนโครโตฟอส 30 กรัม / น้ำ 20 ลิตร

2.4 แมลงวันทอง เป็นแมลงวันที่ทำลายผลไม้ชินิดหนึ่ง ลำตัวมีสีดำปนเหลือง

การทำลาย ตัวเมียจะวางไข่ไว้ที่มีผลแก่ และตัวหนอนเข้ากัดกินเนื้อในผล ทำให้ผลเน่าและร่วงหล่นในที่สุด

การป้องกันกำจัด ห่อผลด้วยถุงพลาสติด หรือใช้เมธิลยูจินอล ล่อแมลงวันตัวผู้ หรือใช้เหยื่อพิษ โปรตีนไฮโดรไลเสท 100 กรัม + น้ำตาล 20 กรัม / น้ำ 4 ลิตร + มาลาไธออน 1.5 กรัม หรือใช้ไดอะซิโนน หรือเฟนิโตไธออนแทนมาลาไธออน ผสมเป็นเหยื่อพิษอีกชนิดหนึ่ง


จากเว็บ http://www.doae.go.th/Library/html/detail/chompu/index.htm



กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

มะพร้าว

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์

อาณาจักร Plantae

ส่วน Magnoliophyta

ชั้น Liliopsida

อันดับ Arecales

วงศ์ Arecaceae

สกุล Cocos

สปีชีส์ C. nucifera

ชื่อวิทยาศาสตร์ Cocos nucifera L.

มะพร้าว เป็นพืชยืนต้นชนิดหนึ่งที่เรารู้จักกันดี อยู่ในตระกูลปาล์ม เราใช้ประโยชน์จากมะพร้าวได้หลายทาง เช่น น้ำและเนื้อมะพร้าวอ่อนใช้รับประทาน เนื้อในผลแก่นำไปขูดและคั้นทำกะทิ กะลานำไปประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ เช่น กระบวย โคมไฟ ฯลฯ นอกจากนี้มะพร้าวจัดเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง ตามตำราพรหมชาติฉบับหลวง ได้กำหนดให้ปลูกมะพร้าวไว้ทางทิศตะวันออกของบ้าน เพื่อความเป็นสิริมงคล

ลักษณะทั่วไป
มะพร้าว เป็นพืชยืนต้น ใบมีลักษณะเป็นใบประกอบแบบขนนก ผลประกอบด้วยเอพิคาร์ป (epicarp) คือเปลือกนอก ถัดไปข้างในจะเป็นมีโซคาร์ป (mesocarp) หรือใยมะพร้าว ถัดไปข้างในเป็นส่วนเอนโดคาร์ป (endocarp) หรือกะลามะพร้าว ซึ่งจะมีรูสีคล้ำอยู่ 3 รู สำหรับงอก ถัดจากส่วนเอนโดคาร์ปเข้าไปจะเป็นส่วนเอนโดสเปิร์ม หรือที่เราเรียกว่าเนื้อมะพร้าว ภายในมะพร้าวจะมีน้ำมะพร้าว ซึ่งเมื่อมะพร้าวแก่ เอนโดสเปิร์มก็จะดูดเอาน้ำมะพร้าวไปหมด
ขณะที่มะพร้าวยังอ่อน ชั้นเอนโดสเปิร์ม (เนื้อมะพร้าว) ภายในผลมีลักษณะบางและอ่อนนุ่ม ภายในมีน้ำมะพร้าว ซึ่งในระยะนี้เรามักสอยเอามะพร้าวลงมารับประทานน้ำและเนื้อ เมื่อมะพร้าวแก่ ซึ่งสังเกตได้จากการที่เปลือกนอกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ชั้นเอนโดสเปิร์มก็จะหนาและแข็งขึ้น จนในที่สุดมะพร้าวก็หล่นลงจากต้น

ประโยชน์

มะพร้าวสามารถใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น

-ในผลมะพร้าวอ่อนจะมีน้ำอยู่ภายใน เรียกว่าน้ำมะพร้าว ใช้เป็นเครื่องดื่มเกลือแร่ได้ เนื่องจากอุดมไปด้วยโพแทสเซียม นอกจากนี้น้ำมะพร้าวยังมีคุณสมบัติปลอดเชื้อโรค และเป็นสารละลายไอโซโทนิก (สารละลายที่มีความเข้มข้นเท่ากับภายในเซลล์ ซึ่งไม่ทำให้เซลล์เสียรูปทรง) ซึ่งด้วยเหตุนี้จึงสามารถนำน้ำมะพร้าวไปใช้ฉีดเข้าหลอดเลือดเวน (หลอดเลือดดำ) ในผู้ป่วยที่มีอาการขาดน้ำหรือปริมาณเลือดลดผิดปกติได้
-น้ำมะพร้าวสามารถนำไปทำวุ้นมะพร้าวได้ โดยการเจือกรดอ่อนเล็กน้อยลงในน้ำมะพร้าว
-เนื้อในของมะพร้าวแก่ นำไปทำกะทิได้ โดยการขูดเนื้อในเป็นเศษเล็ก ๆ แล้วบีบเอาน้ำกะทิออก
-กากที่เหลือจากการคั้นกะทิ ยังสามารถนำไปทำเป็นอาหารสัตว์ได้
-ยอดอ่อนของมะพร้าว หรือเรียกอีกชื่อว่า หัวใจมะพร้าว (coconut’s heart) สามารถนำไปใช้ทำอาหารได้ ซึ่งยอดอ่อนมีราคาแพงมาก เพราะการเก็บยอดอ่อนทำให้ต้นมะพร้าวตาย ด้วยเหตุนี้จึงมักเรียกยำยอดอ่อนมะพร้าวว่า 'สลัดเจ้าสัว' (millionaire's salad)
-ใยมะพร้าว นำไปใช้ยัดฟูก ทำเสื่อ หรือนำไปใช้ในการเกษตร
-น้ำมันมะพร้าว ได้จากการบีบหรือต้มกากมะพร้าวบด นำไปใช้ในการปรุงอาหารหรือนำไปทำเครื่องสำอางก็ได้ และในปัจจุบันยังมีการผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันมะพร้าวอีกด้วย
-กะลามะพร้าว นำไปใช้ทำสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ เช่น กระบวย โคมไฟ กระดุม ซออู้ ฯลฯ
-ก้านใบ หรือทางมะพร้าว ใช้ทำไม้กวาดทางมะพร้าว
-จั่นมะพร้าว (ช่อดอกมะพร้าว) ให้น้ำตาล
-จาวมะพร้าวใช้นำมาเป็นอาหารได้
-น้ำมะพร้าวและเนื้อมะพร้าวใช้ถ่ายพยาธิได้
-เปลือกหุ้มรากมะพร้าวใช้รักษาโรคคอตีบได้
-น้ำมันจากกะลามะพร้าวใช้รักษาโรคผิวหนังได้



กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...