แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ขึ้นต้นด้วย ส แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ขึ้นต้นด้วย ส แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ต้นเสี้ยว

ต้นเสี้ยว ( ชงโค , เสี้ยวดอกแดง )

ชื่อวิทยาศาสตร์ Bauhinia pottsii G. Don var. docipiens K & S. Larson , Bauhinia purpurea

ลักษณะนิสัย ออกดอกเดือน พ.ค. – มิ.ย. ติดฝักเดือน ก.ค. ผลัดใบ หมดทั้งต้น

ลักษณะพิเศษของพืช ให้ร่มเงาดี ทำฟืน ออกผลเป็นฝัก คล้ายฝักถั่วลันเตา

บริเวณที่พบ ที่ราบป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้งทั่วทุกภาคของไทย ประเทศ เขมร ลาว พม่า

จาก http://school.obec.go.th/huakhuann/prusa.htm

blogger social network ฟังเพลงสากล Billy1

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สร้อยสุวรรณา

สร้อยสุวรรณา

ใบ : เปลี่ยนรูปเป็นเส้นและมีกระเปาะดักแมลงเช่นเดียวกับทิพเกสร
ดอก : สีเหลืองสดในเรียงอยู่บนก้านเป็นช่อยาวมี 3 - 10 ดอก โคนดอกเชื่อมติดกันและยื่นยาวเป็นจะงอยแหลม ด้านล่าง ส่วนปลายแยกเป็น 2 ปาก ดูคล้ายเป็นถ้วยเล็ก ๆ ผลกลมแป้นขนาดเล็กเมื่อแก่จะแตกออกส่งเมล็ดภายใน ให้หล่นลงดิน และเจริญขึ้นใหม่ในฤดูฝนปีต่อไป ออกดอกในเดือน ต.ค. - ธ.ค.



วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

การปลูกเสาวรส

การปลูกเสาวรส
เสาวรสหรือที่เรียกกันทั่วไปว่า กระทกรกฝรั่ง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Passion Fruit เป็นไม้ผลที่อยู่ในตระกูล Passifloraceae เสาวรสมี 2 ชนิดคือชนิดผลสีม่วง ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Passifloraedulis และผลสีเหลืองที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า P. edulis F. flavicarpa

โดยทั่วไปแล้วเสาวรสเป็นผลไม้อุตสาหกรรมคือปลูกเพื่อนำผลผลิตไปแปรรูปเป็นน้ำผลไม้เนื่องจากในผลมีน้ำมาก รสเปรี้ยวและมีกลิ่นหอมแต่ก็สามารถรับประทานผลสดได้ โดยเฉพาะบางพันธุ์ที่ผลมีรสชาติค่อนข้างหวาน สำหรับในประเทศไทยนั้นได้นำเสาวรสเข้ามาปลูกครั้งแรกในปี พ.ศ. 2498 โดยเป็นพันธุ์สีม่วง ต่อมาได้มีผู้นำเข้ามาปลูกอีกในอีกหลายพื้นที่ทั้งพันธุ์ผลสีม่วงและผลสีเหลือง จนกระทั่งได้มีการปลูกเป็นการค้ากันทั่วไปแต่ก็ปลูกเพื่อส่งโรงงานแปรรูปเท่านั้น โดยมีแหล่งปลูกที่สำคัญได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย น่าน เพชรบูรณ์ ระยอง ตราด ปราจีนบุรี บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ กาญจนบุรี ชุมพร นราธิวาสและสุราษฎร์ธานี เป็นต้น ส่วนผลผลิตที่จำหน่ายเพื่อบริโภคสดนั้นไม่ใช่พันธุ์สำหรับรับประทานผลสดโดยตรง แต่เป็นการคัดเอาผลผลิตเสาวรสพันธุ์สำหรับแปรรูปบางพันธุ์ที่มีรสชาติค่อนข้างดี เช่น พันธุ์ผลสีม่วงมาจำหน่ายเป็นเสาวรสรับประทานสดแทน

ที่ผ่านมาหน่วยงานต่าง ๆ เช่น มูลนิธิโครงการหลวงและกรมวิชาการเกษตร ได้มีการพยายามวิจัยหาพันธุ์เสาวรสสำหรับประทานสดโดยเฉพาะ เนื่องจากผลผลิตเสาวรสสำหรับรับประทานสดมีราคาสูงกว่าเสาวรสสำหรับแปรรูปมาก ในส่วนของมูลนิธิโครงการหลวงนั้นได้มีการวิจัยหาพันธุ์เสาวรสสำหรับรับประทานสดมานานแล้วโดยได้นำเสาวรสสายพันธุ์จากประเทศต่าง ๆ เช่น ออสเตรเลียและไต้หวัน มาปลูกทดสอบในสถานีต่าง ๆ ได้แก่ สถานีเกษตรหลวงปางดะ, อินทนนท์, ห้วยลึก และแม่ลาน้อย เป็นต้น แต่ในระยะแรกยังไม่มีพันธุ์ไดที่มีลักษณะครบถ้วนตามที่ต้องการคือ ผลผลิตมีรสชาติดีซึ่งต้องค่อนข้างหวาน ขนาดผลใหญ่ให้ผลผลิตสูงและปลูกง่าย เนื่องจากพบว่าเสาวรสพันธุ์สำหรับรับประทานสดส่วนใหญ่ที่รสชาติดี แต่ผลมักจะมีขนาดเล็กให้ผลผลิตต่ำและค่อนข้างอ่อนแอ

จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2539 จึงประสบความสำเร็จคัดเลือกได้เสาวรสพันธุ์รับประทานสดที่มีลักษณะตามต้องการ 2 สายพันธุ์ โดยคัดเลือกจากต้นที่เพาะเมล็ดจากเสาวรสสายพันธุ์จากประเทศไต้หวัน และได้นำออกส่งเสริมในปี พ.ศ. 2540 ซึ่งพบว่าผลผลิตเป็นที่ยอมรับและต้องการของผู้บริโภคมาก ทำให้ปัจจุบันผลผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาดและต้องเร่งขยายการส่งเสริมเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นในอนาคตอันใกล้เสาวรสรับประทานสดจะเป็นไม้ผลเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่ง

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เสาวรส มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของพื้นที่สูง ในอเมริกาใต้ เป็นไม้ประเภทเลื้อย มีอายุหลายปีลักษณะดอก เป็นดอกเดี่ยวสมบูรณ์เพศ แต่เสาวรสบางพันธุ์ คือพันธุ์ผลสีเหลือง ส่วนใหญ่ผสมตัวเองไม่ติดต้องผสมข้ามต้น ดอกเสาวรสจะเกิดที่ข้อ บริเวณโคนก้านใบของเถาใหม่ พร้อมกับการเจริญของเถา โดยต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ดจะออกดอกติดผล เมื่อต้นมีอายุประมาณ 4-5 เดือน หลังปลูกลงแปลง แต่ถ้าเป็นต้นที่เสียบยอดหรือปักชำจะสามารถออกดอกติดผลได้เร็วขึ้น

ผลเสาวรสเป็นผลเดียว สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 50-70 วันหลังติดผล มีหลายลักษณะ เช่น กลม รูปไข่ หรือผลรียาว ขึ้นอยู่กับพันธุ์ เปลือกผลและเนื้อส่วนนอกแข็ง ไม่สามารถรับประทานได้ผลมี 2 สีคือผลสีม่วงและผลสีเหลือง ภายในผลมีเมล็ดสีน้ำตาลเข้มหรือดำเป็นจำนวนมาก แต่ละเมล็ดจะถูกหุ้มด้วยรกซึ่งบรรจุน้ำสีเหลืองมีลักษณะเหนียวข้นอยู่ภายใน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีความเป็นกรดสูง และส่วนที่นำไปใช้บริโภคก็คือส่วนที่เป็นน้ำสีเหลืองนี้เอง

ชนิดและพันธุ์เสาวรส

โดยทั่วไปแล้วเสาวรสสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือชนิดผลสีม่วง และชนิดผลสีเหลืองซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันคือ

1. เสาวรสชนิดผลสีม่วง (Passiflora edulis)

เสาวรสชนิดนี้ผิวผลจะเป็นสีม่วงผลมีลักษณะกลมหรือรูปไข่ ดอกสามารถผสมตัวเองได้ดีดอกจะบานในตอนเช้า ผลสุกมีรสหวานและกลิ่นหอมกว่าพันธุ์สีเหลือง แต่ผลมักจะมีขนาดเล็กกว่าคือเส้นผ่าศูนย์กลางผลประมาณ 4-5 เซนติเมตร น้ำหนัก 50-60 กรัมต่อผล

2. เสาวรสชนิดผลสีเหลือง (Deneger P. edulis Forma F. flavicarpa)

ลักษณะผิวผลจะมีสีเหลืองผลมีขนาดใหญ่กว่าชนิดผลสีม่วงคือเส้นผ่าศูนย์กลางผลประมาณ 6 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 80-120 กรัมต่อผล เนื้อในให้ความเป็นกรดสูงกว่าชนิดสีม่วง จึงมีรสเปรี้ยวมากและใช้แปรรูป เป็นหลัก

เสาวรสชนิดผลสีเหลืองดอกจะบานในตอนเที่ยงส่วนใหญ่ผสมตัวเองไม่ติดต้องผสมข้ามต้นแต่ต้นมีทนทานต่อโรคต้นเน่า เถาเหี่ยว โรคไวรัสและทนต่อไส้เดือนฝอยมากกว่าพันธุ์สีม่วงจึงนิยมใช้เป็นต้นตอในการเสียบกิ่งของพันธุ์ม่วง

พันธุ์เสาวรสรับประทานสด

เสาวรสพันธุ์รับประทานสดที่มูลนิธิโครงการหลวง คัดเลือกได้และส่งเสริมให้ปลูกเป็นการค้ามี 2 พันธุ์คือเสาวรสรับประทานสดเบอร์ 1 และเบอร์ 2 ซึ่งเป็นชนิดพันธุ์สีม่วงทั้ง 2 พันธุ์ โดยคัดเลือกได้เมื่อปี พ.ศ. 2539 จากต้นที่เพาะเมล็ดจากเสาวรสสายพันธุ์ไต้เหวัน

1. พันธุ์รับประทานสดเบอร์ 1

ลักษณะผลเป็นรูปไข่สีม่วงอมแดง เมื่อตัดขวางผลจะเห็นว่ามีลักษณะเป็น 3 พู เส้นผ่าศูนย์กลางผลประมาณ 5 เซนติเมตร น้ำหนักผลประมาณ 70-80 กรัมต่อผลรสชาติหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอม ความหวานเฉลี่ยประมาณ 16 Brix

2. พันธุ์รับประทานสดเบอร์ 2

ลักษณะโดยทั่วไปคล้ายกับพันธุ์เบอร์ 1 แต่สีผลจะเข้มและมีคุณภาพดีกว่าพันธ์เบอร์ 1 คือ รสชาติหวานและน้ำหนักต่อผลสูงกว่า โดยผลมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-6 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 70-100 กรัมต่อผล ความหวานเฉลี่ยที่ประมาณ 17-18 Brix พันธุ์นี้เปลือกหนากว่าพันธุ์เบอร์ 1 จึงสามารถเก็บไว้ได้นาน

ปัจจุบันมูลนิธิโครงการหลวง ได้เน้นให้เกษตรกรที่ปลูกเสาวรสใช้พันธุ์รับประทานเบอร์ 2 สำหรับปลูกเป็นการค้าเนื่องจากลักษณะเด่นที่กล่าวไปแล้วข้างต้น สำหรับพันธุ์ที่ใช้แปรรูปทั้งสีม่วงและสีเหลืองก็สามารถปลูกเพื่อรับประทานผลสดได้แต่ราคาของผลผลิตจะต่ำกว่าตามคุณภาพของผลผลิต

การขยายพันธุ์เสาวรส

วิธีการขยายพันธุ์


การปลูกเสาวรสรับประทานสดจะแตกต่างจากเสาวรสโรงงานที่ปลูกด้วยต้นกล้าจากการเพราะเมล็ด คือ ต้องรักษาให้เผลผลิตมีคุณภาพและรสชาติดี ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากพันธุ์เดิม ดังนั้นการปลูกจึงจำเป็นต้องใช้ต้นกล้าที่ได้จากการเปลี่ยนยอดพันธุ์ดีโดยมีขั้นตอน ดังนี้

1. การเพาะเมล็ดสำหรับทำต้นตอ

ต้นตอที่ใช้ควรเป็นเสาวรสโรงงานชนิดพันธุ์สีเหลือง เนื่องจากมีความแข็งแรงและทนทานตอโรงแมลงได้ดี และเมล็ดที่จะนำมาเพราะควรคัดจากผลและต้นแม่ที่สมบูรณ์ไม่เป็นโรคไวรัส นำมาล้างเอารกที่หุ้มเมล็ดออก นำมาผึ่งให้แห้งแล้วจึงนำไปเพาะแต่ไม่ควรเก็บเมล็ดไว้นานเกินไปเพราะจะทำให้ความงอกลดลง

การเพาะเมล็ดสามารถทำได้ทั้งในภาชนะ เช่น ถุงพลาสติกและตะกร้าหรือในแปลงเพาะกล้าโดยวัสดุเพาะใช้ดิน ปุ๋ยหมัก ขี้เถ้าแกลบและขุยมะพร้าว ผสมกันในสัดส่วน 2:1:1:1 ใช้วิธีโรยเมล็ดเป็นแถวแล้วกลบด้วยวัสดุเพาะให้หน้าประมาณ 1 เซนติเมตร ระวังอย่าให้เมล็ดแน่นเกินไปเพราะจะทำให้เกิดโรคโคนเน่า ปกติเมล็ดที่เพาะจะงอกภายใน 7-10 วัน หลังจากต้นกล้ามีใบจริง 1 ใบ ซึ่งอายุประมาณ 15-20 วันหลังเพาะจึงย้ายลงถุงปลูกขนาด 2.5 x 6 นิ้ว หรือแปลงปลูก ถ้าเป็นฤดูฝนหรือสามารถให้น้ำได้ทั้งนี้ขึ้นกับว้าจะเปลี่ยนยอกดเป็นพันธุ์ดีในเรือนเพาะชำหรือในแปลงปลูก ในระหว่างการเพาะกล้านั้นต้องมีการพ่นยาป้องกันกำจัดมดที่จะทำลายเมล็ดและแมลงที่เป็นเพาหะของโรคไวรัส เช่น เพลี้ยไฟและไรแดงอยู่เสมอ เพื่อให้ต้นกล้าปลอดจากโรคไวรัสและต้องให้ปุ๋ยช่วยเพื่อให้ต้นกล้าเจริญเติบโตเร็วขึ้น โดยอาจจะให้ปุ๋ยทางใบหรือใช้ปุ๋ยสูตร 46-0-0 หรือ 21-0-0 ผสมน้ำรด หลังจากที่ต้นกล้ามีอายุประมาณ 2-3 เดือน จึงสามารถเปลี่ยนยอดเป็นพันธุ์ดีดได้

2. การเปลี่ยนยอดพันธุ์

เสาวรสเป็นพืชที่สามารถเปลี่ยนยอดได้ง่ายและทำได้ทุกฤดูกาล ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสามารถทำได้ 2 แบบคือ การเปลี่ยนยอดพันธุ์ต้นกล้าในถุงก่อนนำไปปลูกและการนำต้นตอไปปลูกในแปลงก่อนแล้วจึงเปลี่ยนพันธุ์ภายหลัง

2.1 การเปลี่ยนยอดต้นกล้าที่ปลูกในถุง

การเปลี่ยนยอดแบบนี้มีข้อดีคือทำได้ง่ายและสะดวกในการปฏิบัติดูแลรักษา เนื่องจากทำได้ในพื้นที่จำกัดและสามารถคัดเลือกต้นกล้าที่มีความสมบูรณ์แข็งแรงสม่ำเสมอกันไปปลูก นอกจากนี้ยังให้ผลผลิตได้เร็วขึ้นจึงเป็นวิธีการที่แนะนำให้ใช้การเปลี่ยนยอดนิยมใช้วิธีเสียบลิ่ม (Cleft grafting) ซึ่งทำได้ 2 แบบคือ

2.1.1 การเปลี่ยนยอดแบบใช้ยอดอ่อน

การเปลี่ยนยอดแบบนี้งานพัฒนาและส่งเสริมไม้ผล มูลนิธิโครงการหลวงได้พัฒนาขึ้นเพื่อลดการติดโรคไวรัสของต้นกล้า ปรับปรุงคุณภาพของต้นกล้าให้แข็งแรงสมบูรณ์สม่ำเสมอมากขึ้น ลดระยะเวลาในการเลี้ยงต้นกล้าในถุงปลูกให้สั้นลง เพื่อให้ระบบรากไม่เสียและให้ต้นกล้าเจริญเติบโตได้ต่อเนื่องไม่ชะงัดการเจริญเติบโตหลังการเปลี่ยนยอด

ต้นตอที่เหมาะสำหรับเปลี่ยนยอดคืออายุ 1.5-2 เดือน หลังเพาะซึ่งจะมีใบประมาณ 5-7 ใบและต้นยังอ่อนอยู่ ทำการเตรียมแผลของต้นตอโดยตัดยอดให้เหลือใบ 3-4 ใบ ผ่าต้นตอลึก 1.5-2.0 เซนติเมตร นำยอดพันธุ์ที่เป็นปลายยอดอ่อน ความยาวประมาณ 5 เซนติเมตรมีใบ 2-3 ใบ มาปาดเป็นรูปลิ่มความยาวเท่ากับแผลของต้นตอ จากนั้นนำมาเสียบลงบนต้นตอผูกด้วยเชือกฟาง ยางยืดหรือใช้ตัวหนีบ เสร็จแล้วนำต้นใส่ไว้ในกระโจมพลาสติกเพื่อรักษาความชื้นไม่ให้ยอดเหี่ยว หลังจากนั้น 7 วัน ยอดพันธุ์ดีจะติดสามารถนำออกจากกระโจมและเลี้ยงให้แข็งแรงอีก 20-30 วันก่อนนำไปปลูก

2.1.2 การเปลี่ยนยอดแบบใช้ตาข้าง

การเปลี่ยนพันธุ์แบบนี้เป็นวิธีการที่ใช้อยู่เดิม ซึ่งมีวิธีการเช่นเดียวกับการเปลี่ยนยอดแบบใช้ยอดอ่อน แต่ต้นตอที่ใช้จะต้องมีอายุมากกว่าคือประมาณ 3-4 เดือน เพื่อให้ต้นตอมีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับยอดพันธุ์ดีที่ใช้ โดยตัดเถาให้มีตาข้าง 2 ตาและตัดใบออกให้เหลือครึ่งใบ ในกรณีที่ไม่มีกระโจมการเปลี่ยนยอดแบบนี้สามารถใช้ถุงครอบยอดเป็นต้นๆ ได้ หรือใส่ในกระโจมขนาดใหญ่ได้ เพราะไม่ต้องรักษาความชื้นให้สม่ำเสมอมากนัก

2.2 การเปลี่ยนยอดพันธุ์ในแปลงปลูก

วิธีการนี้จะทำหลังจากที่นำต้นตอลงไปปลูกในแปลงแล้ว ซึ่งมีข้อเสียคือยากแก่การเปลี่ยนพันธุ์และดูแลรักษาเนื่องจากใช้พื้นที่มาก แต่จะเหมาะสำหรับพื้นที่ปลูกที่อาศัยน้ำฝน เพราะสามารถปลูกต้นตอซึ่งมีความแข็งแรงกว่าต้นที่เปลี่ยนพันธุ์ลงไปก่อนในช่วงปลายฤดูฝนแล้วจึงทำการเปลี่ยนยอดพันธุ์ภายหลัง

การเปลี่ยนยอดสามารถทำได้ตั้งแต่หลังปลูกต้นตอไปแล้วประมาณ 1 เดือนจนกระทั่งเถาเจริญถึงค้างแล้ว โดยวิธีการเสียบลิ่ม (Cleft grafting) เช่นเดียวกับการเปลี่ยนพันธุ์ในถุงปลูก แต่กิ่งพันธุ์ที่นั้นจะเอาใบออกทั้งหมดและต้องคลุมด้วยถุงพลาสติกเพื่อรักษาความชื้นและหุ้มด้วยกระดาษป้องกันความร้อนจากแสงแดด นอกจากนี้ยังสามารถเปลี่ยนยอดพันธุ์ได้โดยวิธีการเสียบข้าง (Side grafting) ได้ หลังการเปลี่ยนยอดให้รักษาใบของต้นตอไว้แต่ต้องหมั่นปลิดยอดที่จะแตกจากตาข้างของต้นตอออก เพื่อไม่ให้แข่งขันกับยอดพันธุ์ดี

การวางแผนการขยายพันธุ์และการผลิตต้นกล้า

การขยายพันธุ์และผลิตต้นกล้าเสาวรสนั้นต้องมีการวางแผนให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่ต้องการปลูก ฤดูกาลและนิสัยการเจริญเติบโตของเสาวรสโดยเฉพาะระยะเวลาให้ผลผลิต การวางแผนที่ถูกต้องจะทำให้เสาวรสให้ผลผลิตอย่างเต็มที่และเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาน้อยที่สุด โดยต้องวางแผนผลิตต้นกล้าให้มีอายุเหมาะสมพอดีเมื่อถึงเวลาปลูกที่ได้กำหนดไว้ว่าเหมาะสมสำหรับรูปแบบการปลูกต่างๆ เช่นปลูกแบบให้น้ำหรือการปลูกแบบอาศัยน้ำฝน การผลิตต้นกล้าเร็วเกินไปจะทำให้ต้องเลี้ยงต้นไว้ในถุงนานจะมีปัญหาระบบรากไม่ดีและต้นทุนการดูแลเพิ่มขึ้น การผลิตต้องล้าช้าก็จะทำให้ต้นกล้าไม่แข็งแรงสมบูรณ์พอเพียงกับระยะเวลาปลูกที่เหมาะสม

การปลูกเสาวรสรับประทานสด
เสาวรสรับประทานสดมีวิธีการปลูกและการปฏิบัติดูแลรักษาเช่นเดียวกับเสาวรสโรงงาน แต่ต้องเพิ่มความประณีตในการปฏิบัติดูแลรักษาบางอย่าง เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้น ปกติแล้วเสาวรสเป็นพืชที่มีอายุยาวนานหลายปี แต่โดยทั่วไปแล้วมีการปลูกกัน 2 ระบบ คือ การปลูกแบบเก็บเกี่ยว 1 ฤดูกาลต่อการปลูก 1 ครั้ง และเก็บเกี่ยว 2-3 ฤดูกาลต่อการปลูก 1 ครั้ง แต่ระบบที่แนะนำให้เกษตรกรใช้ในปัจจุบันคือแบบปลูก 1 ครั้ง เก็บเกี่ยว 2-3 ฤดูกาล เนื่องจากเป็นการลดต้นทุนคือลงทุนทำค้าง 1 ครั้งสามารถเก็บผลผลิตได้ยาวนานขึ้น

ระยะการปลูกและการวางแผนปลูก

โดยธรรมชาติแล้วเสาวรสจะออกดอกและให้ผลผลิตเมื่อมีอายุประมาณ 5-7 เดือนหลังปลูกสำหรับเสาวรสรับประทานสดนั้นจะออกดอกติดผลเร็วกว่านี้ เนื่องจากเป็นต้นกล้าที่เปลี่ยนยอด แต่อายุเหมาะสมที่ควรให้ติดผลไม่ควรต่ำกว่า 5 เดือนเพื่อให้ต้นแข็งแรงพอและขึ้นค้างแล้ว ปกติแล้วเสาวรสจะให้ผลผลิตได้ตลอดปีถ้าไม่ขาดน้ำ แต่ในสภาพที่ปลูกโดยอาศัยน้ำฝนนั้น เสาวรสจะให้ผลผลิตได้ดีในระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ดังนั้นการปลูกเสาวรสรับประทานสดจึงจะต้องวางแผนให้สอดคล้องกับช่วงเวลาการให้ผลผลิตและสภาพการปลูก

1. การปลูกโดยอาศัยน้ำฝน

เนื่องจากเสาวรสจะให้ผลผลิตได้ดีในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกุมภาพันธ์ การปลูกโดยอาศัยน้ำฝนและจะต้องตัดแต่งในเดือนกุมภาพันธ์ทุกปี ดังนั้นการปลูกจะต้องทำก่อนเดือนสิงหาคมอย่างน้อย 7 เดือน ซึ่งมี 2 ช่วงคือระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนมกราคม ซึ่งเป็นช่วงปลายฤดูฝนถึงฤดูหนาว แต่หลังปลูกจะต้องให้น้ำช่วยเพื่อให้ต้นสามารถเจริญผ่านฤดูแล้วแรกไปก่อน สำหรับอีกช่วงหนึ่งคือการปลูกในช่วงต้นฤดูฝนคือเดือนพฤษภาคม ช่วงนี้ไม่ต้องให้น้ำแต่ในปีแรกช่วงระยะเวลาให้ผลผลิตจะสั้นแค่ 3-4 เดือนเท่านั้น คือจากเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์

2. การปลูกแบบให้น้ำ

พื้นที่ปลูกสามารถให้น้ำได้ในฤดูแล้งเสาวรสจะสามารถให้ผลผลิตได้ทันทีเมื่ออายุประมาณ 5-7 เดือนหลังปลูก และให้ผลผลิตได้ตลอดปี ดังนั้นจึงสามารถปลูกได้ทุกช่วงเวลา แต่ยังคงต้องคำนึงถึงความสะดวกในการปฏิบัติดูแลรักษาด้วย ตัวอย่างเช่นถ้าปลูกในช่วงฤดูฝนจะประหวัดในเรื่องการให้น้ำแต่จะต้องเพิ่มการกำจัดวัชพืชมากขึ้น แต่ถ้าปลูกในช่วงฤดูแล้งจะต้องช่วยให้น้ำแต่ปัญหาเรื่องวัชพืชจะน้อยลงมาก

การปลูกเสาวรสในกรณีที่จะเปลี่ยนยอดในแปลงปลูกนั้นจะใช้เวลาตั้งแต่ปลูกจนกระทั่งเปลี่ยนพันธุ์และให้ผลผลิตใกล้เคียงกับการปลูกด้วยต้นพันธุ์ดีเช่นกัน โดยปกติแล้วจะปลูกต้นตอในช่วงปลายฤดูฝนและทำการเปลี่ยนพันธุ์ในช่วงปลายฤดูหนาวซึ่งต้นตอเจริญเติบโตถึงค้างแล้ว

ขั้นตอนการปลูก

การปลูกเสาวรสรับประทานสดมีขั้นตอนที่จะต้องดำเนินการและมีการปฏิบัติดูแลรักษาดังนี้

1. การคัดเลือกและเตรียมพื้นที่ปลูก

เสาวรสรับประทานสดเป็นไม้ผลที่ปลูกง่าย สามารถปลูกเป็นการค้าได้โดยอาศัยน้ำฝน แต่ถ้าสามารถเลือกพื้นที่ปลูกที่สามารถให้น้ำได้จะทำให้คุณภาพผลผลิตดีขึ้นและการให้ผลผลิตยาวนานตลอดปี เสาวรสรับประทานสดนั้นสามารถปลูกได้ตั้งแต่พื้นราบจนกระทั่งพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 เมตร แต่พื้นที่ปลูกควรมีแสงแดดจัด ไม่ควรมีน้ำขังและลาดชันมากเกินไปเพราะจะทำให้ทำค้างยาก ในเขตที่มีฝนตกชุกเสาวรสอาจจะติดผลไม่ดีนักในบางช่วง เนื่องจากละอองเกสรตัวผู้จะถูกน้ำชะล้างและแมลงไม่สามารถผสมเกสรได้ เสาวรสปลูกได้ดีในดินหลายชนิด ดินที่เป็นกรดก็สามารถเจริญเติบโตได้ดี แต่ถ้าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ต่ำกว่า 5.5 ควรใส่ปูนขาวลงไปด้วย

การเตรียมพื้นที่ปลูกเสาวรสรับประทานสดนั้น ต้องมีการไถพรวนพื้นที่ก่อนถ้าพื้นที่ไม่ลาดชันนัก และถ้าสามารถหว่านปุ๋ยอินทรีย์ในขณะไถพรวนพื้นที่ได้ก็จะดีมาก เนื่องจากเสาวรสมีระบบรากตื้นแต่แผ่กว้างมาก จากนั้นจึงขุดหลุมปลูกโดยให้มีระยะปลูก 3x3 เมตร (177 ต้นต่อไร่) หลุมปลูกควรมีขนาด 30x30x30 เซนติเมตรและอยู่บริเวณโคนเสาค้างเพราะจะทำให้สะดวกในการปฏิบัติงานภายในแปลง ก้นหลุมปลูกรองด้วยปุ๋ยอินทรีย์หรือเศษวัชพืชและปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 จำนวน 100 กรัม จากนั้นผสมดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์อีกครั้งลงในหลุมและควรเตรียมหลุมปลูกก่อนล่วงหน้าระยะหนึ่งจะดีมาก เพื่อให้อินทรียวัตถุที่ใส่ลงไปย่อยสลายก่อน

2. การคัดเลือกและเตรียมต้นกล้า

การปลูกเสาวรสรับประทานสดต้องมีการเตรียมต้นกล้าไว้ล่วงหน้าให้พอดีกับช่วงเวลาที่จะปลูกเพื่อให้ได้ต้นกล้าที่คุณภาพดี เพราะการผลิตกล้าเสาวรสส่วนใหญ่จะใช้ถุงปลูกขนาดเล็กให้สะดวกต่อการขนส่งจึงไม่สามารถเลี้ยงต้นกล้าไว้ในถุงปลูกนานได้และที่สำคัญต้นกล้าที่จะนำมาปลูกต้องคัดเลือกให้มีความสมบูรณ์สม่ำเสมอกันและไม่แสดงอาการเป็นโรคไวรัส

3. วิธีการปลูก

หลังจากเตรียมหลุมปลุกแล้วก็สามารถน้ำนกล้าลงปลูกได้ในกรณีที่ปลูกด้วยต้นที่เปลี่ยนยอดแล้วต้องให้รอยต่อของยอดพันธุ์กับต้นตออยู่สูงกว่าระดับดินเพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าทางรอยต่อและต้องตรวจสอบดูด้วยว่าได้เอาวัสดุพันกิ่งออกแล้วหรือไม่ เมื่อปลูกต้นกล้าแล้วใช้หลักไม้ไผ่ขนาดเล็กความสูงถึงระดับค้างปักและผูกเถาติดกับหลักหรือเสาค้างก็ได้เพื่อให้ยอดของต้นตั้งตรงตลอดเวลาต้นจึงจะเจริญเติบโตได้เร็ว

4. การทำค้าง

เนื่องจากเสาวรสเป็นไม้ผลประเภทเถ้าเลื้อยการปลูกจึงต้องมีค้างรองรับต้นและผลผลิต ค้างเสาวรสนั้นต้องแข็งแรงเพียงพอสามารถใช้งานได้อย่างน้อย 3 ปี ต่อการปลูก 1 ครั้งและต้องทำก่อนปลูกหรือทำทันทีหลังปลูกเพื่อให้ทันกันการเจริญเติบโตของต้นเสาวรสสามารถเลี้ยงเถาได้ทันทีเมื่อเถาเจริญถึงค้าง ซึ่งปกติจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน การทำค้างช้าเป็นปัญหาที่พบมาก เพราะเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ทุนและแรงงานมากที่สุด

ค้างเสาวรสมีอยู่ 2 ระบบคือค้างแบบรั้วตั้งและค้างแบบเป็นผืนที่ยังแยกออกเป็นอีก 2 แบบคือ แบบเป็นผืนใหญ่เต็มพื้นที่และแบบตัวที แต่ค้างแบบรั้วตั้งและแบบตัวทีนั้นยังไม่แนะนำให้เกษตรกรใช้เพราะพื้นที่เลี้ยงเถามีจำกัดต้องเพิ่มการตัดแต่งมากกว่าปกติ

ค้างแบบเป็นผืนใหญ่เต็มพื้นที่เป็นแบบที่แนะนำให้เกษตรกรใช้ปัจจุบันเนื่องจากมีพื้นที่เลี้ยงเถามาก เกษตรกรไม่ต้องเสียเวลาในการเลี้ยงและตัดแต่งเถามาก นอกจากนี้ยังทำได้ง่ายและแข็งแรงซึ่งค้างประกอบด้วย 2 ส่วนได้แก่

1. เสาค้าง สามารถใช้ได้ทั้งเสาคอนกรีต เสาไม้หรือเสาไม้ไผ่แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงการลงทุนให้น้อยที่สุดในพื้นที่ 1 ไร่ จะใช้เสาค้าง 177 ต้น คือใช้ระยะ 3x3 เมตร เช่นเดียวกับหลุมปลูก

2. ค้างส่วนบน เป็นพื้นที่เลื้อยของเถาเพื่อไม่ให้เถาห้อยตกลงมา วัสดุที่ใช้อาจจะเป็นไม้ไผ่ลวดสังกะสีหรือเชือกไนล่อนก็ได้ แต่วิธีที่แนะนำให้เกษตรกรใช้คือใช้ลวดสังกะสีเบอร์ 14 สานเป็นโครงสร้างและใช้เชือกไนล่อนสานเป็นตารางขนาด 40x50 เซนติเมตร วิธีนี้จะทำให้น้ำหนักค้างส่วนบนลดลง

ในแต่ละปีต้องมีการซ่อมแซมค้างที่เสียหายให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยปกติแล้วจะทำหลังจากการตัดแต่งกิ่งในเดือนกุมภาพันธ์ เช่น เปลี่ยนเชือกที่ขาดและเสาที่ผุพัง เป็นต้น

5. การจัดทรงต้นและการเลี้ยงเถา

เสาวรสเช่นเดียวกับไม้ผลชนิดอื่นๆ ที่จะต้องจัดทรงต้นให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตโดยเริ่มตั้งแต่หลังปลูกจนกระทั่งขึ้นค้าง คือจะต้องให้เสาวรสมีลำต้นเดียวตั้งแต่ระดับพื้นดินจนถึงค้างในระยะนี้จะต้องคอยดูแลตัดหน่อที่งอกจากต้นตอกิ่งข้างของต้นออกให้หมดรวมทั้งต้องมัดเถาให้เลื้อยขึ้นตั้งตรงอยู่ตลอดเวลา เพราะถ้ายอดของเถาห้อยลงจะทำให้ยอดชะงักการเจริญเติบโตและแตกตาข้างมากและเนื่องจากเสาวรสรับประทานสดเน้นการเลี้ยวเถาเป็นต้นจากการเสียบยอดจึงติดผลเร็ว ต้องหมั่นเด็ดผลทิ้งจนกว่าต้นจะเจริญถึงค้าง

หลังจากต้นเจริญถึงค้างแล้วให้ทำการตัดยอดบังคับให้แตกเถาใหม่ 3-4 กิ่ง จากนั้นจัดเถาให้กระจายออกไปโดยรอบต้นทั่วพื้นที่ของค้าง และควรตัดยอดของเถาอีกครั้งเมื่อยาวพอสมควรแล้วเพื่อช่วยให้แตกยอดมากขึ้น

6. การใส่ปุ๋ย

เสาวรสเป็นพืชที่ออกดอกติดผลตลอดทั้งปี ดังนั้นจึงจำเป็นต้องได้รับปุ๋ยอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ จึงจะให้ผลผลิตได้ดีและมีคุณภาพโดยเฉพาะเสาวรสรับประทานสดนั้นยิ่งมีความจำเป็นมาก การได้รับปุ๋ยที่ไม่ถูกต้องและเพียงพอจะมีผลทำให้คุณภาพและรสชาติของผลผลิตต่ำกว่ามาตรฐาน ปุ๋ยที่ใช้ในการปลูกเสาวรสรับประทานสดมี 2 ชนิดคือ

1. ปุ๋ยอินทรีย์ มีประโยชน์ช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินทำให้ต้นเสาวรสมีความแข็งแรงขึ้นและลดความรุนแรงของโรคไวรัสลง ซึ่งได้แก่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมัก ต้องใส่ให้อย่างน้อยปีละ 1 ครั้งคือใส่พร้อมกับการเตรียมดินก่อนปลูกและหลังจากสิ้นสุดช่วงเก็บเกี่ยวแล้วและทำการติดแต่งกิ่งของแต่ละปีในช่วงต้นกุมภาพันธ์โดยใช้ประมาณ 10 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี โดยอาจจะใช้วิธีโรยเป็นแถวระหว่างต้นหรือรอบต้นแล้วไถพรวนหรือดินกลบ

2. ปุ๋ยเคมี มีความจำเป็นต่อเสาวรสรับประทานสดมาก โดยทั่วไปแล้วแนะนำให้ใช้อย่างต่อเนื่อง ครั้งละจำนวนน้อยแต่บ่อยครั้งเพราะเสาวรสมีช่วงการให้ผลผลิตตลอดปีและพื้นที่สูงมักจะมีปัญหาการชะล้างของฝนทำให้เกิดการสูญเสียของปุ๋ยได้ง่าย อัตราใช้ปุ๋ยเคมีที่แนะนำคือ 150-200 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปีหรือประมาณ 1 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี
7. การให้น้ำและกำจัดวัชพืช

เสาวรสสามารถทนแล้งได้ดีพอสมควร สามารถปลูกโดยอาศัยน้ำฝนได้ แต่การปลูกเสาวรสรับประทานสดแบบให้น้ำเพื่อให้มีผลผลิตตลอดปีนั้นจำเป็นต้องให้น้ำในฤดูแล้งประมาณ 7 วันครั้ง ซึ่งสามารถให้ได้โดยหลายวิธี เช่น น้ำพ่นฝอย น้ำหยด หรือรดน้ำ ควรให้น้ำ 1-2 ครั้ง / สัปดาห์ เป็นต้น สำหรับวัชพืชนั้นต้องหมั่นกำจัดอยู่เสมอโดยอาจจะใช้วีการตัดหรือพ่นด้วยสารเคมีได้แต่ต้องไม่ใช้ประเภทดูดซึม หลังจากที่เถาเต็มค้างแล้วปัญหาเรื่องวัชพืชจะน้อยลง

8. การปลิดผล

โดยธรรมชาติแล้วเสาวรสจะออกดอกและติดผลได้ง่ายโดยจะเกิดที่ทุกข้อบริเวณโคนก้านใบของกิ่งใหม่ถึงแม้ว่าดอกบางส่วนจะร่วงไม่ติดผลแต่ก็มักจะติดผลค่อนข้างมากอยู่ ทำให้ผลผลิตคุณภาพไม่สม่ำเสมอจำเป็นต้องปลิดผลที่มีคุณภาพต่ำทิ้ง ให้ผลที่เหลืออยู่มีคุณภาพดี ซึ่งจำเป็นมากสำหรับเสาวรสรับประทานสดที่ต้องเน้นเรื่องคุณภาพ

ใน 1 เถาเสาวรสจะให้ผลที่มีคุณภาพดีเป็นชุด ๆ ละ 3-4 ผล หลังจากติดผล 1 ชุดแล้ว ผลชุดที่ติดต่อไปมักมีขนาดเล็กเพราะอาหารไม่เพียงพอจึงต้องทิ้งบ้าง นอกจากนี้ยังมีผลที่บิดเบี้ยวเนื่องจากการทำลายของโรคแมลงที่ต้องปลิดทิ้งด้วย โดยทำตั้งแต่ผลมีขนาดเล็กอยู่

9. การตัดแต่งเถา

เนื่องจากเสาวรสเป็นไม้ผลที่ออกดอกบนกิ่งใหม่จึงต้องทำให้ต้นมีการแตกกิ่งใหม่ตลอดเวลาเสาวรสจึงจะให้ผลผลิตได้ดีอีกประการหนึ่งคือเถาเสาวรสจะเลื้อยยืดยาวออกไปตลอดเวลา ทำให้กิ่งใหม่และผลติดอยู่ไกลลำต้นจึงได้รับน้ำและอาหารไม่เต็มที่ การตัดแต่งจะมีประโยชน์ในการช่วยให้ต้นแตกกิ่งใหม่และเถาไม่ยาวเกินไป ซึ่งทำได้ 2 ลักษณะตามรูปแบบการปลูกคือ

1) การปลูกแบบอาศัยน้ำฝน จะต้องทำการตัดแต่งหนัก 1 ครั้ง หลังจากสิ้นสุดฤดูกาลเก็บผลผลิตในเดือนกุมภาพันธ์โดยตัดเถาโครงสร้างที่เกิดจากลำต้นให้เหลือ 3-4 กิ่งยาวประมาณ 30 เซนติเมตร หลังจากนั้น 1 เดือนจะแตกยอดใหม่ที่กิ่งโครงสร้าง ตัดแต่งกิ่งอีกครั้งโดยเลื้อยยอดใหม่ที่สมบูรณ์ ไว้ 2-3 ยอดต่อเถาโครงสร้าง 1 เถา จัดเถาให้กระจายไปรอบต้น

ในระหว่างที่ต้นเจริญเติบโตและให้ผลผลิตนั้นต้องคอยตัดแต่งกิ่งข้างที่แก่และกิ่งที่ให้ผลผลิตไปแล้วออกโดยให้เหลือตา 2-3 ตา เพื่อให้แตกยอดใหม่ให้ผลผลิตต่อไป

2) การปลูกแบบให้น้ำ

การปลูกแบบนี้จะไม่มีการตัดแต่งหนักในฤดูแล้งเพราะต้องการให้มีผลผลิตตลอดปี แต่จะใช้การตัดยอดของเถาโครงสร้างที่ยืดยาวออกไปเป็นระยะๆ หลังจากที่ต้นขึ้นค้างแล้ว เพื่อบังคับให้แตกเถาข้างมากขึ้นและทำการตัดแต่งเถาข้างเมื่อยาวพอสมควรเป็นระยะเช่นกัน เพื่อบังคับให้แตกเถาแขนงให้มากสำหรับให้ผลผลิตและต้องตัดแต่งเถาข้างหรือเถาแขนงที่แก่หรือให้ผลผลิตแล้วออกเป็นประจำเพื่อให้แตกยอดใหม่ทดแทนตลอดเวลาโดยตัดให้เหลือ 2-3 ตา

ในบางช่วงที่ต้นติดผลน้อยกว่าปกติ อาจจะตัดแต่งให้หนักมากขึ้นได้เพราะจะไม่กระทบกับการให้ผลผลิตมากนัก

10. การเก็บเกี่ยวและการบ่ม

เสาวรสรับประทานสดจะไม่เก็บเกี่ยวโดยปล่อยให้ร่วงเหมือนกับเสาวรสโรงงาน คือต้องเก็บจากต้นโดยผลจะสุกเมื่ออายุประมาณ 50-70 วันหลังดอกบาน ระยะที่เหมาะสมเก็บเกี่ยวเมื่อผลเปลี่ยนเป็นสีม่วงแล้วประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ โดยสีของผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดงอมม่วงจึงเก็บเกี่ยวด้วยวิธีการใช้กรรไกรตัดขั้วผลจากต้นให้สั้นติดผล แล้วจึงนำมาบ่มเพื่อให้สีผลสวยและรสชาติดีขึ้น โดยทั่วไปแล้วจะทำการเก็บเกี่ยวทุกๆ 2-3 วันต่อครั้ง

การบ่อใช้ก๊าซอะเซทธิลีน ซึ่งทำได้หลายวิธีเช่น ใส่ผลลงไปภาชนะเช่นกล่องกระดาษ แล้วนำแคลเซียมคาร์ไบด์ที่ใส่ในภาชนะเล็กๆ หรือห่อกระดาษเติมน้ำเล็กน้อยให้เกิดก๊าซอะเซทธิลีนแล้วปิดภาชนะทิ้งไว้ 2-3 วันผลจะเปลี่ยนสีเป็นสีม่วงแดงเข้มขึ้นจึงนำส่งจำหน่าย ในกรณีที่ผลผลิตมีจำนวนมากให้ใช้วิธีใส่ผลผลิตลงในลังพลาสติกหลายๆ ลังนำมาตั้งรวมกันใส่แคลเซียมคาร์ไบด์มากเกินไปเพราะจะทำให้ผิวผลเสียหาย

ก่อนการบ่มควรคัดคุณภาพผลผลิตก่อนที่สำคัญคือระดับความสุกของผลให้สม่ำเสมอกันเพราะจะทำให้ใช้ระยะเวลาในการบ่มเท่ากันสีของผลสม่ำเสมอกันทุกผล

11. การคัดคุณภาพผลผลิตและบรรจุหีบห่อ

ผลผลิตเสาวรสรับประทานสดนั้นต้องเน้นเรื่องคุณภาพเป็นอย่างมากโดยเฉพาะคุณภาพภายใน ซึ่งได้แก่ความหวานและน้ำหนักต่อผล โดยความหวานต้องไม่ต่ำกว่า 16 Brix และผลที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางผล 5 เซนติเมตร ควรมีน้ำหนักประมาณ 70 กรัม เพราะผลที่มีขนาดใหญ่แต่น้ำหนักเบาภายในจะมีเนื้อน้อย สำหรับลักษณะภายนอกนั้นผลต้องไม่บิดเบี้ยว ไม่เน่า แตก หรือเหี่ยว ผิวผลอาจจะลายจากโรคไวรัสหรือแมลงได้ แต่ไม่มากเกินไป ปัจจุบันมูลนิธิโครงการหลวงกำหนดชั้นมาตรฐานผลผลิตไว้ 2 เกรด คือ เกรด 1 เส้นผ่าศูนย์กลางผลตั้งแต่ 5 เซนติเมตรขึ้นไป และเกรด 2 เส้นผ่าศูนย์กลางผลตั้งแต่ 4-5 เซนติเมตร

หลังจากคัดคุณภาพแล้วจึงบรรจุผลผลิตเพื่อส่งจำหน่ายโดยกำหนดให้บรรจุผลลงในลังสีเขียวที่บุข้างด้วยกระดาษและส่งให้งานคัดบรรจุตรวจสอบคุณภาพและส่งจำหน่ายต่อไปโดยอาจจะบรรจุใหม่สำหรับขายปลีกเป็นกิโลกรัม

โรคและแมลงศัตรู

ปกติเสาวรสจะมีโรคและแมลงหลายชนิดรบกวนแต่เนื่องจากเป็นพืชที่ค่อนข้างจะแข็งแรงทนทานต่อโรคแมลงการปลูกส่วนใหญ่จึงไม่นิยมใช้สารเคมีป้องกันกำจัดโรคแมลง ประกอบกับเสาวรสให้ผลผลิตตลอดทั้งปี จึงไม่เหมาะกับการใช้สารเคมี โรคและแมลงที่สำคัญของเสาวรสมีดังนี้

โรคของเสาวรส
1. โรคใบด่าง (Mosaic)

โรคนี้เป็นโรคที่สำคัญที่สุดของเสาวรสเมื่อเกิดการระบาดแล้วจะทำให้ผลผลิตลดต่ำลงทั้งปริมาณและคุณภาพโดยในเสาวรสรับประทานสดนั้นส่วนใหญ่มีการติดโรคนี้เนื่องจากมีการขยายพันธุ์โดยใช้กิ่งพันธุ์ดีจากต้นแม่เดิมที่เป็นโรคอยู่ก่อนแล้ว ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการวิจัยเพื่อผลิตต้นแม่ที่ปลอดโรคอยู่

สาเหตุและอาการ

โรคใบด่างเกิดจากเชื้อไวรัส 2 ชนิด คือ Passion fruit Woodiness Virus (PWV) ซึ่งเป็นไวรัสท่อนยาวคดขนาด 650-800 นาโนเมตร ลักษณะต้นที่เป็นโรคจะแสดงอาการใบด่าง เส้นใบใส ผลด่างทั่วผลและมีอาการด่างแบบวงแหวน ผิวเปลือกไม่เรียบ เปลือกหนากว่าปกติ ผลจะมีลักษณะบิดเบี้ยวและขนาดเล็กลง เชื้อไวรัสอีกชนิดหนึ่งคือ Cucumber Mosaic Virus (CMV) อาการที่พบคือใบด่างเหลือง ใบยอดบิดและหงิกงอ ผิวใบไม่เรียบ ผลบิดเบี้ยว

การแพร่ระบาด

เชื้อไวรัสสามารถถ่ายทอดโดยวิธีกล เช่น การตัดแต่งกิ่ง การเสียบกิ่งและระบาดโดยแมลงพาหะ เช่น เพลี้ยอ่อน

การป้องกันกำจัด

1. คัดเลือกต้นกล้าที่สมบูรณ์ปลอดจากไวรัส

2. ไม่ควรปลูกปะปนกับพืชตระกูลแตง มะเขือ

3. เมื่อนำต้นกล้าลงปลูกจนกระทั่งถึงเริ่มติดผล ควรพ่นยาป้องกันกำจัดแมลงพาหะเป็นระยะๆ

4. ควรระมัดระวังเครื่องมือที่ใช้ติดแต่งกิ่ง โดยทำความสะอาดทุกครั้งที่ตัดแต่งต้นเสร็จในแต่ละต้น

5. การบำรุงต้นให้มีความแข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอจะทำให้ต้นทนทานต่อการทำลายของโรคไวรัส และยังคงให้ผลผลิตได้ดีถึงแม้ปริมาณและคุณภาพจะลดลงบ้างแต่ก็ยังคงสามารถให้ผลผลิตได้ดี

2. โรคจุดสีน้ำตาลที่ผล (Brown fruit spot)

โรคนี้พบมากในแปลงปลูกที่ปลูกถี่เกินไปทำให้เถาแน่นทึบแสงแดดส่งไม่ถึง นอกจากนี้ยังพบในแปลงปลูกที่มีวัชพืชมาก

สาเหตุและอาการ

เกิดจากเชื้อ Collectotrichum sp. ทำให้ผลเป็นจุดสีน้ำตาลทั่วผลหลังจากนั้นแผลดังกล่าวจะพัฒนาเป็นกระเกิดนูนสีน้ำตาล

การป้องกันกำจัด

ต้องหมั่นดูแลรักษาแปลงให้สะอาดอยู่เสมอ ตัดแต่งเถาที่แก่และแน่นทึบออกบ้าง เพื่อให้แสงแดดส่งถึงและให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ทำการตัดแต่งผลที่เป็นโรคออกจากแปลง หากพบการหแพร่ระบาดของโรคมากและจำเป็นต้องทำการป้องกันกำจัดแนะนำให้ใช้สารเคมี เช่น เบนเลท หรือไดแทนเอ็ม-45 หรือแคปแทน ฉีดพ่น 1-2 ครั้ง แต่ไม่ควรใช้ในช่วงใกล้เก็บเกี่ยว

3. โรครากเน่าและโคนเน่า (Damping off} Root rotand footrot)

มักจะเกิดกับต้นกล้าหรือต้นที่ปลุกในพื้นที่ระบายน้ำไม่ดี ซึ่งเกิดจากเชื้อราในดิน พวก Rhizoctonia sp. และ Fusarium sp. โดยต้นจะแสดงอาการเหี่ยวบางครั้งลำต้นบวมพองและแตกเมื่อดูระบบท่อน้ำท่ออาหาร บริเวณรากและโคนต้นเป็นสีน้ำตาล

การป้องกันกำจัด

1. ในพื้นที่ที่เคยพบการแพร่ระบาดควรทำการไถดินตากแดด ประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อลดปริมาณของเชื้อโรคในดิน

2. ควรนำเชื้อราไตรโคเดอร์ม่ามาใช้รองก้นหลุมก่อนปลูกเพื่อป้องวกันการเข้าทำลายของเชื้อโรคในดินและควรใช้อย่างสม่ำเสมอ

3. หากเริ่มพบการเกิดโรคควรกำจัดแหล่งของเชื้อโรคโดยการเผาทำลาย

แมลงศัตรูเสาวรส

1. ไรแดงแดงและไรสองจุด

เข้าทำลายพืชบริเวณใต้ใบทำให้ใบมีสีซีด การระบาดจะมีมากในช่วงฤดูแล้ง แมลงทั้งสองชนิดนี้เป็นแมลงปากดูด

การป้องกันกำจัด

ไรแดง หากมีการระบาดในปริมาณมากให้ใช้สารไดโคโฟล (dicofol) ฉีดพ่นบริเวณใต้ใบ การใช้สารเคมีนี้ให้ผสมสารจับใบในการพ่นทุกครั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเกาะติดที่ใบของสารเคมี

ไรสองจุด หากมีการระบาดสามารเลือกใช้สารเคมีได้ดังต่อไปนี้คือ

1. โพรพาร์ไกต์(โอไมท์) อัตรา 30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร

2. อะเบาเมิกติน(เวอร์ทิเมค) อัตรา 20 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร

3. เฟนไพร็อคซิเมต(ortus) อัตรา 20 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร

** การพ่นสารควรพ่นตามอัตราที่กำหนดและในเวลาที่ไม่มีแดดจัด

2. เพลี้ยไฟ

เพลี้ยไฟมีปากเขี่ยดูดมักเข้าทำลายที่ใบอ่อนและผลอ่อน โดยส่วนของพืชที่ถูกเพลี้ยไฟเข้าทำลายจะมีลักษณะเป็นขีดสีน้ำตาล เพลี้ยไฟมักจะระบาดในช่วงฤดูแล้งหรือช่วงที่ฝนทิ้งช่วง หากพบการระบาดของเพลี้ยไฟควรทำการป้องกันกำจัดพร้อมกับบำรุงต้นพืชให้แข็งแรง

สารเคมีที่ใช้ป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟ

1. คาร์บาริล (เซฟวิน 85 ดับบิวพี) 20-30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร

2. โพรดไทโอฟอส (โตกุไธออน) 20-30 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร

3. ฟลูเฟนนอกซูรอน (แคสเดด) 20-40 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร

การป้องกันกำจัดแมลงด้วยสารเคมีสามารถทำได้ในช่วงก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิตและงดการพ่นสารเคมีทุกชนิดก่อนการเก็บเกี่ยว 7-10 วัน

การผลิตและการตลาดเสาวรส
เนื่องจากเสาวรสรับประทานสดเป็นพันธุ์ที่มูลนิธิโครงการหลวงวิจัยได้และส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ผลิต ปัจจุบันจึงมีผลผลิตจากมูลนิธิโครงการหลวงเท่านั้นที่ออกสู่ตลาด โดยมีผลผลิตส่งจำหน่ายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541/2542(ส.ค.2541-ก.พ.2542) จำนวน 3,905.5 กิโลกรัม ปีพ.ศ.254/2543(มี.ค.2545-ก.พ.2543) จำนวน 7,012 กิโลกรัมและในปี พ.ศ.2543/2544 (มี.ค.2543-ก.พ.2544) จำนวน 37,925 กิโลกรัม แต่พบว่าปริมาณผลผลิตยังไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด เนื่องจากผลผลิตเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทำให้ความต้องการของตลาดเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าการเพิ่มการผลิต ในขณะที่ราคาผลผลิตอยู่ในระดับที่ดีคือเฉลี่ยกิโลกรัมละประมาณ 10-12 บาท ซึ่งสูงกว่าเสาวรสโรงงานถึง 3-4 เท่า

จากสภาพดังกล่าวจึงคาดว่าเสาวรสรับประทานสดมีศักยภาพที่จะส่งเสริมให้เป็นไม้ผลเศรษฐกิจชนิดหนึ่งได้ ทั้งบนพื้นที่สูงและพื้นที่ต่ำ แต่ทั้งนี้การขยายการผลิตในระยะแรกคือ 2-3 ปีข้างหน้าต้องวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโดยคาดว่าไม่ควรเกิน 200 ตันต่อไป เพื่อรักษาระดับราคาของผลผลิตไม่ให้ลดต่ำลงและเพื่อศึกษาความต้องการของตลาดในอนาคตข้างหน้าให้แน่นอนอีกครั้ง

การปลูกเสาวรสนั้นมีปัญหาสำคัญประการหนึ่งคือการใช้ไม้ทำค้างดังนั้นการส่งเสริมปลูกต้องระวังไม่ให้เกิดปัญหาการตัดไม้ทำลายป่ามาเพื่อใช้ทำค้าง การส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกไม้ไผ่ควบคู่กับการปลูกเสาวรสจะเป็นประโยชน์มาก



จากเว็บ http://www.it.mju.ac.th/dbresearch/organize/extention/book-fruit/fruit034.htm


กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

เสาวรส

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์

อาณาจักร Plantae

ส่วน Magnoliophyta

ชั้น Magnoliopsida

อันดับ Malpighiales

วงศ์ Passifloraceae

สกุล Passiflora
L.
ชื่อ : เสาวรส, กะทกรก, แพสชั่นฟรุต

ชื่อสามัญ : Granadilla,Purple Granadilla, Passion Fruit

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Passiflora edulis Sims.

เสาวรส คุ้นกันในชื่อที่เป็นไทยอย่างยิ่งว่า “กะทกรก” และชื่อฝรั่งว่า แพสชั่นฟรุต

ผู้เขียนยังจำผลไม้ที่รสอมเปรี้ยวอมหวานได้ดี เป็นความเป็นความเปรี้ยวที่ละมุนลิ้นมาก เมื่อครั้งที่เกาะท้ายกระบะรถเพื่อนขึ้นไปเยือนเขาค้อ แล้ววิงเวียนจนแทบคายของเก่า รถแวะจอดที่จุดชมวิว มีแม่ค้าใจดีบอกว่า ให้ลองกินแพสชั่นฟรุต แล้วอาการจะดีขึ้น ลูกนี้ไม่ขายแต่ให้กินฟรี คนเขียนไม่เคยกินมาก่อน แต่พอได้ลองลิ้มเนื้อในก็ชื่นใจเป็นกำลัง ความวิงเวียนคลื่นไส้หายไปไหนไม่รู้ กลับมามองวิวทิวทัศน์ได้สวยงามเหมือนคนอื่นได้ทันที ก่อนจากมา แม่ค้าแถมให้อีก บอกเอาไปกินระหว่างทางเผื่อเมารถ ครั้งนั้นนอกจากจะได้รู้จักผลไม้ดีแล้วยังได้รับน้ำใจดีจากผู้คนให้รำลึกถึงเสมอ

สัมผัสต่อมากับแพสชั่นฟรุต รู้สึกว่าผลไม้นี้มีกลิ่นหอมกินแล้วชื่นใจจริงๆ และน่าจะมีประโยชน์ไม่น้อย ได้ซื้อหาน้ำเสาวรสที่เขาคั้นขายมาลองดื่ม รสชาติดี ดื่มแล้วปลอดโปร่างสบายเหมือนปรับสมดุลในร่างกายอย่างไรก็อย่างนั้น

เมื่อมีโอกาสไปประเทศออสเตรเลีย ก็พบว่า แพสชั่นฟรุตนั้นเป็นปีนป่ายอยู่ตามรั้วบ้านผู้คน แต่ก็ไม่ค่อยมีคนเก็บกิน ค่าที่ดกเหลือเกิน ส่วนมากมักเป็นพันธุ์ลูกสีม่วงที่รสออกหวานอร่อยมากกว่าสีเหลือง สำหรับชาวออสเตรเลียบางคนนิยมเอาแพสชั่นฟรุตมาผ่าครึ่งใช้ช้อนนตักเนื้อในเก็บไว้ในขวดแก้วแล้วแช่ตู้เย็น ตักกินวันละช้อน เห็นเพื่อนฝรั่งว่านี่ละยาอายุวัฒนะ เมื่อกลับมาบ้านผู้เขียนจึงลองทำตามดูบ้าง ไม่เลวทีเดียว เพราะบางทีผลไม้ไม่ได้มีอายุยาวนาน แต่หากเรารู้จักวิธีกินอย่างนี้ก็เป็นถนอมสิ่งดี ๆ ให้อยู่กับ (ปาก) เรานานอีกหน่อย

ตามธรรมดาคนเราหากรับประทานพืชผักผลไม้หลากชนิดก็เป็นอายุวัฒนะทั้งนั้น เมื่อความรู้ทางโภชนาการมากขึ้น เราจึงเรียนรู้ว่า พืชผักผลไม้ชนิดนั้นชนิดนี้มีสารอาหารแตกต่างกันอย่างไร และควรเลือกกินแบบใด จากที่เคยกินตามรสนิยมก็อาจเปลี่ยนเป็นมากกินตามภาวะสุขภาพของตนเอง

หากรู้สึกว่าขาดวิตามินซี เสาวรส ก็เป็นผลไม้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามินดังกล่าว จะกินผลสด หรือดื่มน้ำคั้นจากผลก็ได้ทั้งนั้น เมื่อได้รับมิตามินและเกลือแร่เพียงพอที่ร่างกายต้องการแล้ว ถึงตอนนี้ก็เป็นอายุวัฒนะได้

ถิ่นกำเหนด

มารู้จักเสาวรสหรือแพสชั่นฟรุตกันอีกเล็กน้อย เสาวรสนี้มีกำเนิดมาจากดินแดนบราซิล และแถบอเมริกาใต้ เป็นผลไม้ที่ปลูกกันทั้งใจเขตร้อนและเขตอบอุ่น โดยทั่วไปแพสชั่นฟรุตมีสองชนิด คือชนิดที่ผลสีม่วงและผลสีเหลือง ผลสีม่วงเป็นพันธุ์ที่เติบโตได้ดีในเขตอบอุ่นและบนพื้นที่สูงมากกว่า 1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลหรือเขตหนาย ส่วนพันธุ์สีเหลืองปลูกได้ทั่วไปทั้งในเขตร้อนและอบอุ่น ว่ากันเรื่องรสชาติ พันธุ์สีม่วงรสชาติออกหวาน และหอมกว่าชนิดสีเหลือง แต่คุณต่าทางอาหารแทบไม่ต่างกัน ในเมืองไทยปลูกได้ทั้งสองชนิด ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศและสภาพอากาศ

เสาวรส เป็นไม้เลื้อยกินได้ที่ดอกสวยและดก หากมีใครบางคนที่ไม่ชมชอบรสชาติของผล ลองปลูกชมดอกประดับสวนก็ยังได้

ลักษณะทั่วไปของสาวรส

เสาวรสหรือแพสชั่นฟรุต (กะทกรก) เป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็ง ขนาดเล็ก อายุหลายปี อาจปลูกเป็นไม้ริมรั้วหรือทำค้าง หรือซุ้มให้เลื้อยพันก็ได้ แพสชั่นฟรุตไม่เกี่ยงขอเพียงให้มีที่เลื้อยพัน คราวนี้ก็ผลิดอกออกผลกันได้ทั้งปีไม่มีหยุด

ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับ เป็นพู 3 พู ปลายพูแหลม โคนใบมน ขอบใบเป็นจัก แผ่นใบสีเขียวอ่อน ดอกเป็นดอกเดี่ยวเส้นผ่าศูนย์กลางดอก 6-8 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงและกลีบดอกสีขาวหรือสีเขียว กลีบรูปรี มีรยางค์เรียงเป็นวง สีขาวปลายม่วง มีดอกตลอดปี ผลรูปร่างกลมหรือรี ผิวเป็นมัน มีเมล็ดสีดำจำนวนมาก เนื้อหุ้มเมล็ดรสเปรี้ยวอมหวาน มีกลิ่นหอม

จะเลือกปลูกชนิดใดไว้ในบ้านก็แล้วแต่ แต่โดยทั่วไปเสาวรสพันธุ์สีเหลืองมักทนทานต่อโรคและต่อสภาพภูมิอากาศได้ดีกว่า และจากที่เห็นเป็นพืชที่ปลูกอยู่ตามบ้านของชาวออสซี่ จึงน่าจะปลูกในบ้านเราในฐานะของไม้ผลและไม้ประดับสวนได้ด้วย กิ่งพันธุ์ตอนนี้มีแพร่หลายทั่วไปตามตลาดต้นไม้

วงศ์วานเครือญาติของแพสชั่นฟรุตนั้นเป็นไม้ประดับก็หลายชนิด ทั้งเถาศรีมาลาดอกแดง สร้อยไพลินและสร้อยฟ้าดอกม่วง อีกทั้งยังมีกะทกรกไทย ที่เพลินใจขึ้นอยู่ตามที่รกร้างว่างเปล่าและชายป่าเหมือนอายว่ามีดอกสวย ใครอยากชมก็ต้องลงแรงไปดูเอง กะทกรกไทยนั้นผลจะกลมกว่า ดอกเล็กกว่า แม้ผลจะมีรสหวาน แต่ก็ไม่ค่อยมีใครนิยมรับประทาน

ประโยชน์

เสาวรสยังมีคุณค่าทางสมุนไพร คือผลนั้นคนโบราณใช้แก้ปวด บำรุงปอด ใบสดนั้นใช้พอกแก้หิด ดอกใช้ขับเสมหะ แก้ไอ แต่ทั้งต้นสด มีสารพิษคือ สาร cyanogenetic glycoside หากอยู่ ๆ เด็ดเถาต้นสดเข้าปกาเคี้ยวเล่น ก็อาจถึงตายเชียว อย่าทำเป็นเล่นไป คอยให้ออกผลมากินให้ชื่นใจดีกว่า

ปัจจุบันน้ำเสาวรสถูกนำบรรจุกระป๋องและกล่องขาย มีทั้งของโครงการหลวงดอยคำ และของบริษัทเอกชนทั่วไป




จากเว็บ http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AA



กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553

ส้มโอ

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์

อาณาจักร Plantae

ส่วน Magnoliophyta

ชั้น Magnoliopsida

ชั้นย่อย Rosidae

อันดับ Sapindales

วงศ์ Rutaceae

สกุล Citrus

สปีชีส์ C. maxima

ชื่อวิทยาศาสตร์ Citrus maxima Merr.

พันธุ์ส้มโอ

พันธุ์ส้มโอที่ปลูกในประเทศไทยมีอยู่หลายพันธุ์ โดยพันธุ์เดียวกันหรือ กลุ่มเดียวกันแต่ปลูกกันคนละท้องที่ก็จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป ซึ่งโดยทั่วไปจะแบ่งพันธุ์ส้มโอที่ปลูกเป็นการค้าออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ

1. พันธุ์การค้าหลัก มี 6 พันธุ์ คือ ขาวพวง, ขาวแป้น, ขาวทองดี, บางขุนนนท์, ขาวใหญ่ และขาวหอม

2. พันธุ์การค้าเฉพาะแห่ง มี 6 พันธุ์ ได้แก่ ปัตตาเวีย, ขาวแตงกวา, ขาวแก้ว, กรุ่น, ท่าข่อย และน้ำผึ้ง

แต่พันธุ์ที่ปลูกกันอย่างแพร่หลาย และเป็นที่ต้องการของตลาดมีอยู่ 3 พันธุ์ คือ ขาวพวง ขาวทองดี และขาวแป้น

พันธุ์ขาวพวง

ผลมีขนาดโตปานกลาง ทรงผลกลม ทรงสูงเล็กน้อย มีจุกสูง มีกีบที่จุก ด้านก้นผลเว้าเล็กน้อย ผิวเรียบ มีสีเขียวอมเหลีอง ต่อมน้ำมันที่ผิวเปลือกค่อนข้างใหญ่ อยู่ห่างกันพอสมควร เปลือกหนาปานกลาง ผลหนึ่งมีกลีบผล ประมาญ 12 - 14 กลีบ แยกออกจากกันได้ง่าย กุ้ง (เนื้อ) มีสีขาวอมเหลือง ค่อนข้างแข็งเบียดกันอยู่อย่างหลวม มีน้ำมากแต่ไม่แฉะน้ำ รสหวานอมเปี้ยว มีเมล็ดไม่มาก เป็นพันธุ์ที่นิยมใช้ไนเทศกาลไหว้พระจันทร์ เนื่องจากมีรูปทรง ผลสวย (ทรงผลมีสกุล) จึงสามารถส่งไปจำหน่ายต่างประเทค ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ได้ปีละเป็นจำนวนมาก
พันธุ์ขาวทองดี หรือทองดี

ผลมีขนาดโตปานกลาง ทรงผลกลมแป้น ไม่มีจุก ต้นขั้วผลมีจีบเล็กน้อย ก้นผลเรียบถึง เว้าเล็กน้อย ผิวเรียบมีสีเขียวเข้ม ต่อมน้ำมันละเอียดอยู่ชิดกัน เปลือกค่อนข้างบาง ด้านในของเปลือกมีสีชมมพูเรื่อๆ ผลหนึ่ง มีกลีบผลประมาณ 14-16 กลีบ ผนังกลีบมีสีชมพูอ่อน กุ้งมี สีชมพูเบียดกันแน่น นิ่ม ฉ่ำน้ำ รสหวานอมเปรี้ยว เมล็ดมี ขนาดเล็ก เป็นพันธุ์ที่นิยม บริโภคโดยทั่วไปและส่งไปจำหน่าย ยังต่างประเทศ

พันธุ์ขาวน้ำผึ้ง

ผลมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ทรงผลกลมสูง แต่ไม่มีจุกเด่นชัดเหมือนพันธุ์ขาวพวง ด้านก้นผลเรียบ ต่อมน้ำมันที่ผิวเปลือกมีขนาดใหญ่อยู่กันห่างๆ ผิวเปลือกมีสีเขียวเข้ม เปลือกค่อนข้างหนา ผลหนึ่งมีกลีบผลประมาณ 11-12 กลีบ แยกออกจากกันง่าย กุ้งมีสีขาวอมเหลือง ขนาดกุ้งค่อนข้างใหญ่ เบียดกันแน่น มีน้ำมากแต่ไม่แฉะ รสหวานอมเปรี้ยว สามารถ แกะเนื้อออกมาได้ง่าย เมล็ดมีขนาดใหญ่ แต่มีเมล็ดไม่มากนัก เป็นที่นิยมบริโภคโดยทั่วไป

ประโยชน์ของส้มโอ

ส้มโอมีประโยซน์ตั้งแต่เปลีอกใช้เชื่อมเป็นขนมหวาน เช่นหวัดเพชรบุรี ทำเปลือกส้มโอเชื่อมจนเป็นสินค้าพื้นเมือง ไปขายไกลๆ ส่วนเนื้อที่เปรี้ยวใช้ประกอบกับข้าวยำทางภาคใต้ เนื้อหวานอมเปรี้ยวใช้ทำส้มโอลอยแก้ว ส่วนเนื้อหวานใช้ รับประทานเป็นผลไม้สด

การขยายพันธุ์ส้มโอ

การขยายพันธุ์ส้มโอทำได้หลายวิธีคือ
1.การเพาะเม็ด
2.การติดตา
3.การเสียบกิ่ง
4.การตอน
แต่ที่ชาวสวนนิยมทำอยู่ในปัจจุบันคือการตอน ซึ่งเป็น วิธีที่ชาวสวนส้มโอมีความชำนาญมาก เนื่องจากมีข้อดีหลาย ประการ เช่น วิธีการทำง่าย ุอุปกรณ์หาได้ง่าย ราคาถูก ออกรากเร็ว ต้นที่ได้ไม่กลายพันธุ์ ให้ผลเร็ว ต้นไม่สูง ทรงต้น เป็นพุ่ม สะดวกในการเข้าไปดูแลรักษา แต่ก็มีข้อเสียคือ อายุไม่ ยืน และอ่อนแอต่อโรค

อุปกรณ์ที่ใช้ไน่การตอนกิ่งส้มโอมีดังนี้

1.มีด
2.ขุยมะพร้าว
3.ถุงพลาสติก
4.เชือกฟาง

ฤดูที่ทำการตอนกิ่งส้มโอ

ตามปกติแล้ว การตอนกิ่งไม้ทุกชนิดจะทำการตอนใน ฤดูฝน คือตั้งแต่เดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนสิงหาคม เพราะ ในระยะนั้นต้นไม้กำลังอยู่ในระยะที่กำลังเจริญเติบโต ฝนตก บ่อยไม่ต้องเสียเวลาในการรดน้ำให้กับกิ่งตอน

การคัดเลือกกิ่งตอน
ก่อนที่จะทำการคัดเลือกกิ่งส้มโอที่จะตอน ต้อง พิจารณาเลือกต้นก่อน เพราะถ้าต้นแม่พันธุ์ที่ใช้ตอนไม่ดีแล้ว กิ่งตอนที่จะนำไปปลูกต่อไปก็จะไม่ดีด้วย ซึ่งมีหลักในการ พิจารณาหลายประการ เช่น
เลือกต้นแม่พันธุ์ที่ให้ผลแล้ว ซึ่งทำให้เราสามารถ จะพิจารณาลักษณะที่ดีๆ ตามมาได้อีก
เป็นต้นที่ให้ผลดก ให้ผลสม่ำเสมอ เป็นพันธุ์ดี และมีรสดี
เลือกจากต้นที่มีความเจริญเติบโต แข็งแรง สังเกต จากมีการเจริญเติบโตดีกว่าต้นอื่นๆ
เลือกจากต้นที่ปราศจากโรคและแมลงรบกวน

เมื่อเลือกได้ต้นที่ดีแล้ว จึงมาทำการคัดเลือกกิ่งที่จะ ตอน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ส่วนมากชาวสวนมักไม่ค่อย คำนึงถึงกัน เห็นกิ่งใดพอที่จะตอนได้ก็ตอนหมด ซึ่งนับว่าไม่ ถูกต้อง เพราะว่าต้นไม้แต่ละต้นมีกิ่งที่มีความเจริญเติบโต สมบูรณ์ไม่เท่ากัน บางกิ่งก็แข็งแรงดี บางกิ่งแคระแกน อ่อนแอ บางกิ่งก็แก่เกินไปหรืออ่อนเกินไป สิ่งเหล่านี้จะทำให้ได้กิ่งตอน ที่ไม่สมบูรณ์แข็งแรงทั้งสิ้น ดังนั้นจึงควรเลือกกิ่งตอนดังนี้
1 . กิ่งที่จะใช้ตอนนั้น ต้องเป็นกิ่งเพสลาด คือไม่แก่ ไม่อ่อนเกินไป มีใบยอดคลี่เต็มที่ และเจริญเติบโตจนเป็น ใบแก่แล้ว
2. กิ่งที่จะตอนควรจะเป็นกิ่งกระโดงตั้งตรง หรือเอียง เล็กน้อย ไม่เป็นกิ่งที่ห้อยเอายอดลงดิน เพราะจะทำให้รากที่ งอกออกมางอ เมื่อตัดไปปลูกจะได้กิ่งตอนที่ปลายรากชี้ฟ้า
3. เป็นกิ่งที่มีความยาวประมาณ 50-70 เซนติเมตร มีกิ่งแขนงแยกออก 2-3 กิ่ง
4. เป็นกิ่งที่เจริญเติบโตแข็งแรงปราศจากโรคและ แมลง

การปฏิบัติบำรุงรักษากิ่งตอน

หลังจากทำการตอนกิ่งเสร็จแล้ว ต้องคอยลังเกต ตุ้มตอนว่ามีมดหรือปลวกเข้าไปทำรังอาศัยอยู่หรือไม่ ถ้ามีให้รีบ ทำการกำจัดโดยใช้ยาเคมีฉีดพ่นที่ตุ้มตอนหรือถ้าตุ้มตอนมีการ ชำรุดเนื่องจากมีสัตว์มาทำลาย กให้ทำการซ่อมแซมใหม่

ระยะปลูก

เนื่องจากต้นส้มโอที่ใช้ปลูกกันส่วนมากได้จากกิ่งตอน จึงมีทรงพุ่มไม่กว้างมากนัก ดังนั้นถ้าปลูกใน สภาพที่ดินมีความ อุดมสมบูรณ์ดีก็อาจจะมีระยะระหว่างต้นและระหว่างแถวประมาณ 8 x 8 เมตร แต่ถ้าปลูกในสภาพที่ดินไม่สู้จะอุดมสมบูรณ์เท่าไรนัก หรือที่ มีระดับน้ำใต้ดินสูงก็อาจจะปลูกให้มีระยะระหว่างต้น ระหว่างแถว ประมาณ 6 x 6 เมตร ดังนั้นในพื้นที่ 1 ไร่ จะสามารถปลูกส้มโอได้ประมาณ 25-40 ต้น

วิธีปลูก

ถ้าเป็นการปลูกส้มโอแบบยกร่อง จะปลูกเป็นแถวเดียว ใช้ระยะปลูกระหว่างต้นประมาณ 6 เมตร โดยขุดหลุมปลูกกลางแปลงดิน ส่วนการปลูกในพื้นที่ดอนจะปลูกตามลักษณะของพื้นที่โดยให้มีระยะระหว่างต้นและระหว่างแถว ประมาณ 6 x 6 เมตร

หลุมปลูกควรมีขนาดความกว้างประมาณ 0.5 เมตร ขุดหลุมแยกดินบนและดินล่างไว้แยกกัน กองไว้ปากหลุม แล้วตากดินทิ้งไว้ประมาณ 1 - 2 เดือน เพื่อให้แสงแดดฆ่าเชื้อโรคเชื้อราต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในดิน ผสมดินปนกับปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เศษใบไม้ หญ้าแห้ง และบางส่วนของดินชั้นล่าง แล้วกลบลงไปในหลุมจนเต็มปากหลุม นำกิ่งพันธุ์ส้มโอที่เตรียมไว้ปลูกตรงกลางหลุม โดยให้ระดับของดินอยู่เหนือตุ้มกาบมะพร้าว กิ่งตอนเล็กน้อย หรือถ้าเป็นกิ่งตอนที่ชำแล้วให้ระดับพอดีกับระดับดินที่ชำ แล้วใช้ไม้หลักปักให้ถึงก้นหลุมเพื่อกันลมโยก รดน้ำให้ชุ่ม หาวัสดุพรางแสงแดด เช่น ทางมะพร้าว หรือกิ่งไม้ที่มีใบใหญ่พรางแสงแดดทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก

การกักน้ำส้มโอเพื่อช่วยในการออกดอก

การกักน้ำส้มโอเป็นการบังคับน้ำเพื่อให้ส้มโอออกดอก เร็วขึ้นและสม่ำเสมอกันโดยการกักน้ำหรือสูบน้ำออกจากร่อง สวนให้แห้งทิ้งไว้ ประมาณ 7 - 30 วัน ระหว่างนี้ส้มโอจะเฉา ใบมีลักษณะห่อ จึงปล่อยน้ำให้เข้าไปใหม่ ส้มโอจะรีบดูดน้ำ เข้าไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นจะเริ่มแตกใบอ่อนพร้อมกับมี ช่อดอกออกมาด้วย นับจากให้น้ำจนถึงออกดอกใช้เวลาประมาณ 15 - 60 วัน วิธีนี้สามารถทำให้ส้มโอออกดอกเร็วขึ้นตามต้องการ ได้ แต่จะเป็นการทำให้ต้นส้มไอโทรมเร็วกว่าที่ปล่อยให้ส้มโอทยอยออกดอกตามธรรมชาติ

ผลผลิตและการเก็บเกี่ยว

ส้มโอจะเริ่มให้ผลเมื่อประมาญ 4 ปี ในฤดูปกติส้มโอที่ ปลูกในภาคกลางจะเริ่มออกดอกระหว่างเดือนพฤศจิกายน จน ถึงเดือนมีนาคม โดยเฉพาะมกราคมถึงกุมภาพันธ์ จะออกดอก มากที่สุด เรียกว่าส้มปี และจะมีออกประปรายในเดือนอื่นๆ เรียกว่า ส้มทะวาย ดอกที่ออกมานี้จะทนและติดเป็นผลแกใช้ เวลาประมาณ 8 เดือน ซึ่งจะเป็นเดือนสิงหาคมและกันยายน จะเป็นฤดูที่ส้มแก่มากที่สุด แต่ส้มโอพันธุ์ขาวทองดีจะแกช้ากว่า พันธุ์ขาวพวงและขาวแป้นเล็กน้อย คือจะแก่เก็บได้ราวเดือน กันยายนถึงตุลาคมเป็นส่วนมาก ในด้านความดกนั้นพันธุ์ ขาวพวงและขาวแป้นจะดกมาก ต้องทำการปลิดผลทิ้งให้ เหลืออยู่พอดีกับขนาดของต้น
ส้มไอทีปลูกกันในจังหวัดภาคกลางผลผลิตจะเริ่มลดลง เมื่อส้มโออายุประมาณ 10 ปี ขึ้นไป เนื่องจากระดับน้ำใต้ดินสูง รากส้มถูกจำกัดพื้นที่ ส่วนส้มโอที่ปลูกในจังหวัดอื่นๆ ถ้ามีการ ดูแลรักษาที่ดีสามารถให้ผลผลิตได้สูงถึงอายุ 15 - 20 ปีการเก็บเกี่ยว

ผลส้มโอที่อยู่ไม่สูงมากนักควรใช้ กรรไกรตัดขั้ว ถ้าเป็นผลที่อยู่สูงควรใช้ที่เก็บเกี่ยวชนิดมีขอ ตัดต่อด้าม และมีเขือกกระคุกพร้อมถุงรองรับ จะช่วยให้ผล ไม่ร่วงหล่นลงดินประโยชน์ของส้มโอ

ส้มโอมีประโยซน์ตั้งแต่เปลีอกใช้เชื่อมเป็นขนมหวาน เช่นหวัดเพชรบุรี ทำเปลือกส้มโอเชื่อมจนเป็นสินค้าพื้นเมือง ไปขายไกลๆ ส่วนเนื้อที่เปรี้ยวใช้ประกอบกับข้าวยำทางภาคใต้ เนื้อหวานอมเปรี้ยวใช้ทำส้มโอลอยแก้ว ส่วนเนื้อหวานใช้ รับประทานเป็นผลไม้สด

การปอกเปลือกส้มโอ

การปอกเปลือกส้มโอที่พบเห็นกันอยู่โดยทั่วไป มักจะใช้มีดกรีดผลจากขั้วผลลงมา 5-6 รอย แล้วจึงลอกเอา เปลือกออก โดยใช้นิ้วมือสอดไประหว่างเปลือกและกลีบผล วิธีนี้จะทำให้ต่อมน้ำมันที่เปลือกแตกเลอะมือ เมื่อลอกเอาเนื้อ ออก บางส่วนของเนื้อจะติดกับน้ำมันของเปลือกที่ติดมืออยู่ ทำให้มีกลิ่นเหม็นและเสียรสชาติไป จึงขอแนะนำวิธีการ ปอกเปลือกส้มโอให้ได้เนื้อที่มีคุณภาพดี ดังนี้
1.ใช้มีดปอกส่วนของเปลือกที่เป็นสีเขียวออกจนหมด
2.ลอกเปลือกสีขาว ซึ่งจะทำให้ลอกออกได้ง่ายและไม่ มีกลิ่นของน้ำมันที่ผิวเปลือกติดออกมา
3.เมื่อเหลือแต่เปลือกหุ้มกลีบ จึงลอกเอาเปลือกหุ้ม ออกทีละกลีบจะได้เนื้อที่เป็นกลีบสวยงามและมีรสชาติดี

กองอาหาร กรมอนามัยได้ท้าการวิเคราะห์หา ปริมาณธาตุอาหารจากเนื้อส้มโอ 100 กรัม มีดังนี้

ความชื้น 81.0 กรัม
ความร้อน 61.0 หน่วย
ไขมัน 0.2 กรัม
ดาร์ไบไฮเดรท 17.8 กรัม
เยื่อใย 0.6 กรัม
โปรตีน 0.5 กรัม
แคลเชี่ยม 21.0 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 18.0 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.5 มิลลิกรัม
ไวตามิน เอ 10 หน่วย
ไวตามิน บี 1 0.02 มิลลิกรัม
ไวตามิน บี 2 0.01 มิลลิกรัม
ไวตามิน ซี 58.0 มิลลิกรัม

สภาพดินฟ้าอากาศ

ส้มโอสามารถปลูกได้ดีในดินเกือบทุกขนิด ไม่ว่าจะ เป็นดินเหนียว ดินทราย ดินปนทราย ที่ระบายน้ำได้ดีน้ำ ไม่ท่วมขังแฉะ แต่คุณภาพผลผลิตแตกต่างกันไป พื้นที่ปลูก ที่ทำให้ส้มโอเจริญงอกงามดี ผลดก และมีคุณภาพดี ควรปลูกในพื้นที่ดินโปร่ง ร่วนซุย มีอินทรียวัตถุอยู่มาก ระบายน้ำได้ดี ถ้าเป็นดินเหนียวต้องยกร่อง เพื่อให้มีการระบาย น้ำได้ดี ควรมีระดับน้ำใต้ดินไม่น้อยกว่า 4 ฟุต น้ำไม่ขังแฉะ ดินมีความเป็นกรดด่างประมาณ 5.6-6 น้ำต้องได้รับสม่ำเสมอ ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยปีละ 1,500 - 2,000 มิลลิเมตร และอุณหภูมิ ที่เหมาะสมเฉลี่ยประมาณ 25 - 30 องคาเซลเซียส

วิธีตอนกิ่ง

เมื่อเลือกได้กิ่งที่สมบูรณ์ตามต้องการแล้ว จึงทำการ ควั่นกิ่ง การควั่นนั้นให้ควั่นที่ใต้ข้อของกิ่งเล็กน้อย เนื่องจาก บริเวณข้อของกิ่งจะสะสมอาหารไว้มาก ทำให้การงอกของ รากเร็ว และได้รากจำนวนมาก รอยควั่นด้านล่างห่างจาก รอยควั่นบนเท่ากับความยาวของเส้นรอบวงของกิ่ง กรีดที่ เปลือกระหว่างรอยควั่นทั้งสอง ลอกเปลือกตรงรอยควั่นออก ส่วนมากแล้วกิ่งที่ลอกเปลือกออกได้ง่ายจะงอกรากได้เร็วกว่า กิ่งที่ลอกเปลือกออกยาก ใช้มีดขูดเยื่อเจริญซึ่งมีลักษณะเป็น เยื่อลื่นๆ ออกให้หมด เพื่อป้องกันไม่ให้เยื่อเจริญมาประสานกัน ต่อได้อีก ซึ่งจะทำให้รากไม่งอก สังเกตได้โดยใช้มือจับดู ถ้าหาก ลื่นแล้วแสดงว่าขูดเยื่อเจริญออกหมดแล้ว
นำถุงขุยมะพร้าวที่เตรียมไว้มาผ่าตรงกลาง จากด้านที่ มีเชือกมัดจนถึงก้นถุงใช้มือแหวกขุยมะพร้าวให้แยกออกเป็นร่อง นำไปหุ้มรอยควั่น พร้อมกับมัดด้วยเชือกฟางให้แน่นอย่าให้ ถุงขุยมะพร้าวหมุนได้

การตัดกิ่งตอน

ในสภาพปกติแล้ว ส้มโอจะงอกรากหลังจากทำการ ตอนประมาญ 1 เดือน ส่วนการตัดกิ่งตอนนั้นจะตัดเมื่อไร ให้สังเกตจากรากที่งอกออกมา โดยจะทำการตัดได้เมื่อรากที่ งอกออกจากกิ่งตอนเป็นสีน้ำตาลและมีรากสีขาวแตกออกมา อีกทีจึงจะตัดได้ เพราะรากฝอยหรือรากสีขาวนั้นเป็นรากดูด อาหารควรตัดกิ่งตอนในตอนเย็นเพราะเป็นระยะที่ใบหยุด การคายน้ำ กิ่งกะไม่เหี่ยวหรือเฉาได้ง่าย ควรตัดใบและกิ่งที่มี มากเกินไปทิ้งบ้าง เพื่อปีองกันการระเหยของน้ำ แช่กิ่งตอน ในน้ำให้น้ำท่วมตุ้มตอน สัก 1- 2 ชั่วโมง จึงนำไปชำต่อไป

การปลูก

ดังที่กล่าวมาแล้ว ส้มโอสามารถปลูกได้ในดินเกือบทุกชนิด เช่น ดินเหนียว ดินทราย ดินปนทราย การปลูก ส้มโอในดินแต่ละชนิดจึงต้องมีการเตรียมพื้นที่ไม่เหมือนกัน เพื่อเป็นการปรับสภาพพื้นที่ให้เหมาะสมในการปลูกจึงแยก การปลูกส้มโอออกได้ 2 วิธี คือ
1. การปลูกส้มโอในดินเหนียวซึ่งมีน้ำท่วมถึงในสภาพพื้นที่ของเขตอำเภอสามพราน อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เป็นต้น สภาพทั่วไ่ปจะเป็นที่ราบลุ่มริมฝั่ง แม่น้ำ ดินเหนียวจัด ระบายน้ำยาก มีระดับน้ำใต้ดินสูง ส่วนมากจะดัดแปลงมาจากท้องนา สวนผัก แล้วยกร่องให้เป็น แปลงขิ้น ให้ระดับดินสูงกว่าพื้นที่ราบทั่วไป เพื่อรากส้มโอได้ กระจายได้ลึกกว่าปกติ ระหว่างแปลงดินจะมีทางน้ำ สามารถ เก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง และช่วยระบายน้ำออกในฤดูฝน ขนาด ของแปลงดินกว้างประมาญ 6 เมตร ร่องน้ำกว้างประมาณ 1.5 เมตร และที่ก้นร่องน้ำกว้างประมาณ 50 ซ.ม. -70 ซ.ม. และ ลึกประมาณ 1 เมตร ส่วนความยาวของแปลงดินไม่จำกัด แล้วแต่ความต้องการของเจ้าของสวน
2. การปลูกส้มโอในที่ดอนที่ที่น้ำท่วมไม่ถึงการปลูกส้มโอในพื้นที่แบบนี้ไม่ต้องยกร่อง ควรปรับพื้นที่ให้เรียบ ทำลายวัชพืชและไถกลบดินให้ลึกสัก 2 ครั้ง ถ้าเป็นดินเก่าที่ ไม่สู้จะอุดมสมบูรณ์ก็ควรหว่านพืชตระกูลถั่วลงแล้วไถกลบ เพื่อเป็นการเพิ่มปุ๋ยสดให้กับดิน

การปฏิบัติดูแลรักษา

1. การให้น้ำ
ในระยะที่ปลูกส้มโอใหม่ ๆ ต้องหมั่นให้น้ำสม่ำเสมอจนกว่าจะตั้งตัวได้ เมื่อส้มโอเจริญเติบโตดีแล้ว ให้น้ำเป็นครั้งคราวเมื่อจำเป็น
2. การใส่ปุ๋ย
ส้มโอควรใส่ทั้งปุ๋ยเคมีและปุ๋ยคอกควบคู่กันไป ในระยะที่ส้มโออายุ 1 - 3 ปี หรือยังไม่ให้ผล ให้ใส่ปุ๋ยคอกเก่า ผสมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15 - 15 - 15 ปุ๋ยเคมีใช้อัตรา 300-500 กรัม/ต้น/ครั้ง โดยใส่ 3 - 4 ครั้ง/ปี เมื่อส้มโอให้ผลแล้วเมื่อ อายุ 4 ปีขึ้นไป การใส่ปุ๋ยจะแตกต่างกันไปตามช่วงของการ ออกดอกติดผล กล่าวคือ หลังจากเก็บเกี่ยวผลแล้วจะให้ปุ๋ยสูตร 15 - 15 -15 เพื่อให้ต้นส้มโอฟื้นตัวจากการออกผลเร็วขึ้น เมื่อส้มโอจะเริ่มออกดอกใหม่ให้เปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยสูตร 8-24-24 หรือ 12 - 24 - 12 เพื่อช่วยให้มีการสร้างดอกดีขึ้น เมื่อติดผล แล้วประมาณ 30 วัน ขณะที่ผลยังเล็กอยู่ ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15 - 15 -15 เพื่อช่วยให้การเจริญเติบโตของผลดีขึ้น จนกระทั่ง ผลมีอายุได้ 5-6 เดือน ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 13 - 13 - 21 เพื่อช่วยให้ ผลมีการพัฒนาด้านคุณภาพของเนื้อดีขึ้น มีความหวานมากขึ้น ส่วนอัตราการใช้ควรพิจารณาจากขนาดของทรงพุ่มและ จำนวนผลที่ติดในแต่ละปี โดยทั่วไปเมื่อต้นส้มโออายุได้ 6-7 ปี ก็จะโตเต็มที่ การใส่ปุ๋ยอาจจะใส่ครั้งละประมาณ 1 กิโลกรัม สำหรับต้นส้มโอที่มีการติดผลมาก ควรใส่ปุ๋ยทางใบเสริม เพื่อช่วยให้ผลส้มโอมีคุณภาพดี หรือต้นส้มโอที่มีสภาพโทรม มาก ๆ จากการที่มีน้ำท่วมหรือน้ำเค็มควรให้ปุ๋ยทางใบเสริมจะ ช่วยให้การฟื้นตัวของต้นส้.มโอเร็วขึ้น
วิธีการใส่ปุ๋ยโรยบนพื้นดินภายในบริเวณทรงพุ่ม แต่ระวังอย่าใส่ปุ๋ยให้ซิดกับโคนต้น เพราะปุ๋ยจะทำให้เปลือก รอบโคนต้นส้มโอเน่า และอาจทำให้ส้มโอตายได้
3. การตัดแต่งกิ่ง
ควรตัดแต่งกิ่งที่ขึ้นแข่งกับลำต้นให้หมด รวมทั้งกิ่ง ที่ไม่ได้ระเบียบ กิ่งที่มีโรคแมลงทำลายออกทิ้ง การตัดแต่งกิ่งควร ทำด้วยความระมัดระวังอย่าให้กิ่งฉีก หลังจากตัดแต่งกิ่งควรใช้ ยากันเชื้อราหรือปูนกินหมากผสมน้ำทาตรงรอยแผลที่ตัด เพื่อกันแผลเน่าเนื่องจากเชื้อรา เดษที่เหลือจากการตัดแต่งกิ่ง ควรรวมไว้เป็นกองแล้วนำไปเผาทำลายนอกสวน

ประโยชน์ของการตัดแต่งกิ่ง
1.เพื่อให้การออกดอกติดผลดีขึ้น เนื่องจากใบได้รับ แสงแดดทั่วถึงกัน การปรุงอาหารของใบมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2.ช่วยลดการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช เนื่องจากการตัดแต่งกิ่งที่มีโรคแมลงทิ้งไป
3.ช่วยให้กิ่งแย่งอาหารลดน้อยลง เพราะกิ่งนี้ ชาวสวนต้องตัดทิ้งจะเป็นกิ่งที่คอยแย่งอาหารและไม่ค่อยออก ดอกติดผล
4.ช่วยทำให้ขนาดของผลส้มสมสม่ำเเสมอได้ขนาดตามที่ ตลาดต้องการ

4. การกำจัดวัชพืช
ในสวนส้มโอทุกแห่งมักจะมีปัญหาจากวัชพืชที่ขั้นรบกวน ถ้ามีจำนวนมากก็จะก่อให้เกิดผลเสียหาย เพราะนอกจากจะแย่งน้ำและอาหารแล้วังเป็นแหล่งสะสมโรคและแมลงอีกด้วย จึงต้องคอยควบคุมอย่าให้มีวัชพืชมาก แต่การกำจัดหญ้าหรือวัชพืชอื่นให้หมดไปเลยก็ไม่ดีควรให้มีเหลืออยู่บ้างจะช่วยยึดดินไม่ให้หน้าดินพังทลาย รวมทั้งช่วยป้องกันกายระเหยของน้ำได้อีกด้วย

การป้องกันน้ำเค็มและน้ำเสีย

เนื่องจากสวนส้มโอส่วนมากที่อยู่ในภาคกลางมักจะทำ สวนกันด้วยการยกร่อง เมื่อถึงฤดูแล้งมักจะประสบปัญหาน้ำเค็ม เอ่อเข้าท่วมสวนอยู่มาก สวนส้มโอจึงมักจะได้รับความเสียหาย จากน้ำเค็มเป็นประจำ จึงควรทำการปีองกันน้ำเค็มและน้ำเสีย ไม่ให้เข้าทำลายส้มโอดังนี้
1.เมื่อเข้าฤดูแล้งให้รีบกักน้ำจืดไว้แต่เนิ่นๆ ก่อนที่ น้ำเค็มหรือน้ำเสียจะเข้าถึงแล้วสร้างทำนบคันดินรอบสวน เพื่อกันน้ำเค็มเข้า และหมั่นตรวจดินทำนบกั้นน้ำและประตู ระบายน้ำ (ลูกท่อ) อย่าให้รั่วซึมได้
2.รดน้ำให้ส้มโออย่างประหยัดเท่าที่จำเป็น เพื่อให้มี น้ำจืดใช้อย่างพอเพียงในข่วงที่น้ำเค็มเข้าถึง
3.ขุดลอกท้องร่องหรือโกยเลนจากท้องร่องเพื่อนำมา คลุมผิวดินบนอกร่อง รวมทั้งหากาบมะพร้าว ใบกล้วย ฟางข้าว เคษไม้ หญ้าแห้ง มาคลุมบริเวณโคนต้นเพื่อรักษาความชุ่มชื้น ในดินเป็นการลดปริมาณการใช้น้ำลง
4.เก็บจอกแหน เศษใบไม้ ผลมะพร้าว ที่ร่วงหล่นอยู่ ในน้ำในท้องร่องสวนขึ้นไว้บนอกร่องให้หมด เพื่อปัองกันน้ำใน ท้องร่องเน่าเสีย
5.หมั่นตรวจน้ำในคูคลองส่งน้ำบ่อย ๆ หากมีน้ำจืด เข้าเป็นครั้งคราวให้รีบสูบหรือปล่อยน้ำเข้าสวน เพื่อเก็บกัก น้ำไว้
6.หมั่นตรวจดูน้ำจืดในบริเวณสวนที่เก็บกักไว้เสมอ โดยการชิมดูว่ามีรสกร่อยหรือเค็ม หรือมีสีสรรผิดจากปกติ ที่เป็นอยู่หรือไม่ หากมีแสดงว่าคันดินกั้นน้ำหรือประตูระบายน้ำ รั่วซึม ให้รบทำการซ่อมแซมเสีย
7.หมั่นตรวจดูอาการของส้มโอในสวนอย่างสม่ำเสมอ หากมีอาการผิดปกติ เช่น ใบอ่อนเริ่มเหี่ยวเฉา ไหม้เกรียม เป็นอาการแรกเริ่มของส้มโอที่ถูกน้ำเค็มหรือน้ำเสีย ให้รีบแก้ไข โดยหาน้ำจืดมารดให้ชุ่มโชก เพื่อลดปริมาณความเค็มหรือ น้ำเสียให้เจือจางลง

ประโยชน์ของส้มโอ

ส้มโอมีประโยซน์ตั้งแต่เปลีอกใช้เชื่อมเป็นขนมหวาน เช่นหวัดเพชรบุรี ทำเปลือกส้มโอเชื่อมจนเป็นสินค้าพื้นเมือง ไปขายไกลๆ ส่วนเนื้อที่เปรี้ยวใช้ประกอบกับข้าวยำทางภาคใต้ เนื้อหวานอมเปรี้ยวใช้ทำส้มโอลอยแก้ว ส่วนเนื้อหวานใช้ รับประทานเป็นผลไม้สด

การป้องกันกำจัดศัตรูส้มโอ

ส้มโอเป็นพืชที่มีโรคแมลงรบกวนมาก ชาวสวนจึงต้อง ให้ความสนใจในการป้องกันกำจัดโรคแมลงให้ดีที่สุด

1. มวนเขียว

ระบาดมากที่สุดในตอนต้นฤดูฝนทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากผลที่ยังอ่อนอยู่ทำให้ผลส้มร่วงหล่นก่อนกำหนด นอกจากนั้นยังเป็นทางทำให้เชื้อราและแบคทีเรียระบาดทั่วไปตามกิ่งและก้านได้อีก

การป้องกันกำจัด

1.ใช้สวิงจับตัวแก่มาทำลาย
2.ใช้กำมะถัน 2 กระป๋อง ผสมขี้เลื่อยเฉลี่ย 3-4 ปี๊ป กองไว้ในสวนแล้วจุดไฟเป่าให้มีควันอยู่เสมอจะช่วยป้องกัน และไล่มวนเขียวได้
3.ฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่นโมโนใครโตฟอส

2. หนอนชอนใบ

หนอนผีเสื้อชนิดนี้จะทำลายเฉพาะ ใบอ่อน ทำให้ใบงอผิดรปเดิม ใบที่ถูกทำลายจากการเจาะจะมีรอยวกไปเวียนมา ผิวใบจะเป็นฝ้าขาวแห้ง และร่วงหล่น ส่วนใบแก่จะไม่ถูกทำลาย หนอนจะเลือกกินส่วนผิวที่มีสีเขียวของใบอ่อนทำให้ใบหงิกงอ เป็นฝ้าขาวแห้ง จะทำให้การเจริญเติบโต หยุดชงัก บางครั้งจะเกาะกิ่งอ่อนของส้มด้วย นอกจากนี้ยังเป็น ทางทำให้เชื้อราและแบคทีเรียเข้าทำลายได้อีก เซ่น ช่วยเป็น พาหนะในการระบาดของโรคขี้กลาก (โรคแดงเกอร์) อีกด้วย

การป้องกันกำจัด

1.ใช้มือจับหนอนทำลาย และตัดใบที่ถูกหนอนทำลายมาเผาไฟทิ้ง ในกรณีที่เป็นสวนส้มขนาดเล็ก
2.ฉีดพ่นด้วยสารเคมีเช่น ใดเมทโซเอท ผสมเฟนวาลีเรท อัตรา 4:1 ฉีดพ่นในระยะที่ส้มแตกใบอ่อนให้ ทั่วถึงตลอดทั้งลำต้นจึงจะได้ผล

3. หนอนผีเสื้อกินใบ

เป็นหนอนผีเสื้อกลางวันชนิดหนึ่งซึ่งวางไข่ไว้ตามใบอ่อนของส้ม หนอนจะกัดกินใบอ่อนจนถึงแกน ทำให้ใบร่วง โดยเฉพาะต้นกล้าจะได้รับความเสียหายมาก นอกจากนี้หนอนยังทำลายพวกกิ่งที่มีผลทำให้ผลร่วงได้ง่าย

การป้องกันกำจัด

1.ใช้มือจับหนอนและดักแด้มาทำลายในเมื่อยัง ไม่ระบาดมากนัก
2.ฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น โมโนใครใตฟอส หรือ เอนโดซัลแฟน หรือ เมทธามิโดฟอส
3.ในสภาพธรรมขาติมีแมลงวันก้นขนเป็นศัตรู ธรรมชาติ ในระยะดักแด้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการพ่นสารเคมี เมื่อต้นส้มไม่มียอดอ่อน และเมื่อพบว่าดักแด้ถูกศัตรูธรรมชาติ เข้าทำลาย

4. ด้วงงวงกัดกินใบ
ตัวเต็มวัยของแมลงชนิดนี้จะกัดกินใบทำให้ใบแหว่ง หรือเป็นรูพรุน ถ้ามีมากจะกัดกินใบจนเหลือแต่กิ่งการป้องกันกำจัด

1.เขย่ากิ่งเพื่อให้ด้วงล่วงลงมา แล้วนำไปทำลาย
2.ฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น เมทธามิโดฟอส หรือ ดาร์บารีล ฉีดพ่นในระยะที่ส้มโอแตกใบอ่อน

5. ผีเสื้อมวนหวาน

เป็นผีเสื้อกลางคืนที่ทำให้เกิดผลเสียหายแก่ชาวสวนส้มโอเป็นอย่างมากในปีหนึ่ง ๆ โดยการดูดกินน้ำหวานของผลส้มโอที่เริ่มแก่ถึงแก่จัด ผีเสื้อชนิดนี้จะใช้ปากแทงเข้าไปในผลส้มโอ ทำให้บริเวณที่แทงเน่า ต่อมาจะร่วงหล่นไปก่อนกำหนดแก่ ส้มที่ได้รับความเสียหายจากผีเสื้อ ชนิดนี้อาจลังเกตได้จากน้ำที่ไหลออกมาจากรูของผล

การป้องกันกำจัด

1.ใช้กับดักไฟฟ้าที่มีกำลังแรงเทียนสูง ล่อให้เข้ามาเล่นไฟ
2.ใช้สวิงจับผีเสื้อ
3.การรมควันหรือใช้ยาพวกไล่แมลง
4.ใช้พวกเหยื่อพิษที่บรรจุขวดหรือกระถางดินเผาแขวนไว้ที่ก้นผลไม้ก่อนที่ผลไม้จะแก่ประมาณ 1 เดือน ต้องคอยเปลี่ยนเหยื่อพิษทุกสัปดาห์
5.ใช้สารเคมีฉีดพ่นในระยะที่กำลังเป็นตัวหนอนอยู่จะช่วยลดความเสียหายลงได้บ้าง
6.ทำกรงดัก โดยใช้ผลไม้สุกเป็นเหยี่อล่อให้ผีเสื้อมวนหวานมาติดกรง

6. หนอนกินลูก

ในระยะที่เป็นหนอน จะชอนไชเข้าไปในผลอ่อน ทำให้ผลเหี่ยวเน่าและร่วงหล่น

การป้องกันกำจัด

1.นำก้มที่ถูกทำลายไปฝังหรือเผา
2.ฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น ดาร์บารีล ให้ทั่วเพื่อกำจัดหนอนที่ปักออกจากไข่ใหม่ๆ เมื่อหนอนเจาะเข้าไป ในผลส้มแล้วการกำจัดจะไม่ได้ผลเลย

7. หนอนมวนใบส้ม

หนอนผีเสื้อขนิดนี้จะวางไข่บนใบส้ม ตัวหนอนจะกัดกินใบส้มและม้วนใบทำเป็นรังอาศัยอยู่ซึ่งจะทำให้ส้มมีผลผลิตลดน้อยลง
การป้องกันกำจัด

1.ใช้มือจับหนอนและดักแด้อาศัยอยู่ในใบที่ม้วนมาทำลาย
2.ฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น เมทธามิโดฟอส

8. หนอนเจาะกิ่งส้ม

หนอนจะเจาะเข้าไปอาศัยอยู่ตามกิ่งและลำต้นที่ปากรูจะเห็นเป็นขุย ๆ บางครั้งจะทำให้มียางไหลเยิ้มออกมา กิ่งส้มที่ถูกเจาะจะแห้ง ต้นส้มไม่เจริญเติบโต

การป้องกันกำจัด

1.ตรวจดูตามกิ่งและลำต้นส้ม ถ้าพบตัวหนอนและตัวแกให้รบทำลาย
2.ในกรณีของกิ่งส้มเล็กที่ถูกทำลายให้ตัดเผาไฟ
3.ฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น ไดคลอร์วาสฉีดเข้าไปในรูที่หนอนเจาะแล้วเอาดินเหนียวอุดรูไว้

9. เพลี้ยอ่อนสีเขียว

เพลี้ยอ่อนชนิดนี้จะดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบและยอดอ่อน ซึ่งมีผลทำให้ใบนั้นหยิกและงอต้นแคระแกรน การเจริญเติบโตหยุดชงัก เพลี้ยอ่อนจะขับสาร ออกมาจากร่างกายเป็นน้ำหวาน ซึ่งเป็นอาหารที่เหมาะในการเจริญเติบโตของราดำที่กิ่งและใบอีกด้วย

การป้องกันกำจัด

1.ฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น ไดเมทโธเอท
2.ไข้ยาฉุน 1 กิโลกรัม น้ำ 60 ลิตร สบู่ 180 กรัมแช่ยาฉุนไว้ 1 คืน หรือต้มให้เดือด 1 ชั่วโมงครึ่ง ผสมน้ำและสบู่ตามจำนวนฉีดพ่นให้ถูกตัวเพลี้ยอ่อน

10. ไรแดงส้ม

ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของไรแดงส้มชนิดนี้จะดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบ ผล และกิ่งอ่อนของต้นส้มซึ่งจะทำให้บริเวณที่ถูกทำลายนั้นเห็นเป็นจุดสีอ่อนๆ ซึ่งต่อมาจะค่อย ๆ ขยายตัวออกไปทั่วจนมีสีเทาหรือสีตะกั่ว ในกรณีที่พบระบาดมากๆ ก็จะทำให้ใบและผลร่วงหล่นได้ และอาจจะทำให้ผลที่ถูกทำลายมีลักษณะแคระแกรนและคุณภาพเสื่อมลงมักระบาดมากในฤดูแล้ง

การป้องกันกำจัด

1.พ่นด้วยกำมุะถันผงละลายน้ำ อัตรา 4 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตร ควรพ่นในเวลาเข้าเพื่อป้องกันใบไหม้
2.ฉีดด้วยสารเคมี เช่น โปรปาไจท์
3.ฉีดด้วยน้ำธรรมดาโดยใช้เครื่องฉีดที่มีความดันสูง

11. เพลี้ยแป้งส้ม

เพลี้ยแป้งส้มชนิดนี้จะดูดน้ำเลี้ยงจากกิ่งใบและผลส้ม ซึ่งจะทำให้ผลส้มร่วงก่อนแก่ตามกำหนด และจะเป็นทางทำให้เกิดราดำคลุมทั่วไป ตามกิ่งของต้น

การป้องกันกำจัด

1.ฉีดพ่นด้วยยาจำพวก ไวท์ออย ผสมกับ มาลาไธออน
2.กำจัดมดซึ่งเป็นพาหะของเพลี้ยแป้ง

12. เพลี้ยไฟส้ม

เพลี้ยไฟจะเจาะเข้าไปในผิวใบและดูดกินน้ำเลี้ยงของใบส้ม ผลที่ยังอ่อนเพลี้ยไฟจะเจาะตรงส่วนที่ อยู่ใกล้กับกลีบดอกเมื่อผลโตขึ้นก็จะเจาะบริเวณใกล้เคียงกับขั้วทำให้บริเวณที่ถูกเจาะนั้นมีรอยเป็นสะเก็ดสีเทา ส่วนใบที่ถูก ทำลายนั้นก็จะแคระแกรนและหงิกงอ นอกจากใบและผลแล้วเพลี้ยไฟยังทำลายกิ่งอ่อนและดอกอีกด้วย

การป้องกันกำจัด

1.ฉีดพ่นคัวยยานิโครตินซัลเฟต เข้มข้น 0.05%
2.ฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น ไดเมทโธเอท , คาร์บารีล หรือ ดาร์โบชัลแฟน ในระยะที่ระบาดมาก ๆ ประมาณ 7-10 วัน ต่อครั้ง

โรคของส้มโอ

1. โรคยางไหล
โรคนี้เกิดจากเชื้อรา อาการที่แสดงให้ เห็นคือ มีน้ำเหลวสีน้ำตาลไหลออกมา หรือเกาะติดตามกิ่งและ ลำต้น มีแผลเล็กๆ อยู่ตรงส่วนที่ยางไหลออกมา เริ่มแรกจะ เห็นเป็นจุดวงสีน้ำตาล ต่อมาจุดนี้จะลามออกไปเป็นแผลใหญ่ๆ มีน้ำยางสีน้ำตา.ลไหลออกมามากมายหรือรอบกิ่ง หรือเกาะเหนียวอยู่ตามกิ่งและ ลำต้น ถ้าต้นที่โตแล้วเป็นมากจะสังเกตเห็นว่าใบเริ่มเหลืองเล็กและหลุดร่วงไป ต้นแสดงอาการทรุดโทรม ผลเล็ก ยอดแห้ง ในที่สุดต้นก็จะตาย

การป้องกันกำจัด

1.ถ้าพบอาการเป็นแผลและยางไหลออกมาให้รีบเฉือนเปลือกไม้ส่วนที่เป็นแผลออกให้หมด ทาแผลรวมทั้งรดดินบริเวณโคนต้นด้วยสารเคมี เข่น ฟอสเอทธีล อีล
2.อย่าให้น้ำขังหรือท่วมบริเวณต้นส้มโอเป็นเวลานานๆ ควรทำการระบายน้ำอย่าให้ขังหรือชื้นแฉะ
3.ส้มที่ตายแล้วหรือส่วนของส้มที่ตัดทิ้งนำมารวมกันเผาทำลาย

2. โรคโคนเน่าและรากเน่า

โรคชนิดนี้เกิดจากเชื้อราชนิดเดียวกันกับโรคยางไหลมักจะเกิดบริเวณโคนต้นใกล้ผิวดิน เริ่มจากเปลือกจะเป็นจุดๆ แล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และเน่า เปลือกอ่อนหลุดออกมาได้ง่าย ถ้าอากาศชื้นทิ้งไว้ 1 - 2 วัน จะเห็นเส้นใยของราฟูขาวขึ้นมา อาการเน่าจะลุกลาม ออกไป เปลือกที่เน่าจะมียางสีน้ำตาลไหลออกมา เมื่อเน่ารอบ โคนต้นส้มจะตาย อาการที่รากจะเป็นเช่นเดียวกับที่โคนต้น ในระยะนี้ใบจะเหลืองซีดร่วงหล่น กิ่งเริ่มแห้ง และตายในที่สุด

การป้องกันกำจัด

การป้องกันกำจัดให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับโรคยางไหล

3. โรคใบแก้ว

โรคนี้อาจจะเกิดจากการขาดธาตุอาหารหรือเชื้อมายโคพลาสมา อย่างใดอย่างหนึ่งจะพบมาก หลังจากที่ต้นส้มโอให้ผลไปแล้ว 2 - 3 ปี ส้มให้ผลดกมากเกินไป อาการที่พบบนใบจะทำให้ใบเล็กลง ใบมีสีเหลือง ใบชี้ปลายใบค่อนข้างเรียวแหลม โดยเฉพาะใบแก่จะแสดงอาการเหลืองเป็นจ้ำ ๆ ก่อนที่ส้มจะปรากฏอาการของโรคบนใบรุนแรงนั้น ส้มจะอยู่ในลักษณะงามเต็มที่ออกดอกมาก ถ้าอาการรุนแรงผลจะร่วงมากผิดปกติ อาการอีกชนิดหนึ่งคือส้มโอให้ผลผลิตสูงโดยตลอดติดต่อกัน 2-3 ปี หลังจากนั้นจะค่อย ๆ เริ่มทรุดโทรมและแห้งตายไปในที่สุด

การป้องกันกำจัด

1.ฉีดพ่นสารเคมี เช่น ไดเมทโธเอท เพื่อป้องกัน แมลงพาหะ ฉีดเมื่อส้มเริ่มแตกใบใหม่
2.อย่าปล่อยให้ต้นติดผลมากจนเกินควร ถ้าออกผลมากควรปลิดทิ้งให้เหลือพอเหมาะกับขนาดของต้น
3.หลังเก็บผลแล้วควรตัดกิ่งและบำรุงดินให้อยู่ ในสภาพที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะควรไข้ปุ๋ยอินทรีย์ไห้มาก เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกตามด้วยปุ๋ยเคมี
4.การปลูกส้มโอทดแทนหรือเริ่มทำสวนส้มใหม่ ๆ ควรแน่ใจว่าใช้ต้นพันธุ์ที่ปราศจากโรค
5.เมื่อพบว่าต้นใดเป็นโรคใบแก้ว ควรตัดกิ่งที่เป็นทิ้ง ถ้าเป็นทั้งต้นให้ขุดไปเผาไฟทำลาย

4. โรคแคงเกอร์

โรคนี้มักเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย มักเกิดในระยะที่ใบอ่อนและผลที่ยังอ่อน แรก ๆ จะเห็นเป็นจุดใส ๆ ขนาดเล็กเท่ากับหัวเข็มหมุดสีขาวหรือเหลืองอ่อน กระจายอยู่ทั่วไป ต่อมาจะยายโตขึ้นนูนทั้งด้านบนและด้านล่างใบ แผลจะกลายเป็นสีเหลือง ภายในแผลมีลักษณะขรุขระ ถ้าเป็นมากจะทำให้ใบร่วง บางครั้งอาจมียางไหลออกมาด้วย อาการที่กิ่งจะเป็นแผลตกสะเก็ดที่เปลือก ากจะทำให้ใบร่วง บางครั้งอาจมียางไหลออกมาด้วย อาการที่ กิ่งจะเป็นแผลตกสะเก็ดที่เปลือก ถ้าเป็นมากทำให้กิ่งตายได้

การป้องกันกำจัด

1.ฉีดพ่นด้วยสารเคมี เมื่อมีนนอนชอนใบระบาดเพราะหนอนทำให้ใบและกิ่งเป็นแผล เชื้อโรคระบาดเข้าไปได้ เนื่องจากหนอนชอนใบเป็นพาหะ
2.กิ่งที่จะนำไปปลูกใหม่ต้องปราศจากโรค
3.ตัดกิ่งที่เป็นรุนแรงมากไปเผาทำลาย
4.ตัดแต่งกิ่งภายในทรงต้นให้โปร่ง
5.ฉีดพ่นสารเคมีป้องกันโรค เช่น สเตรปโตมัยซิน 2 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร และใช้คอปเปอร์ออกซี่คลอไรด์ร่วมกับ ยากำจัดหนอชอนใบ

5. โรคแสค๊ป

โรคนี้เกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่ง เป็นได้ทุกระยะ อาการจะเป็นแผลนูนๆ กลีน้ำตาลที่ใบหรือที่ด้านใต้ของผลจะเป็นรอยบุ๋ม แผลมักจะติดกันเป็นกลุ่ม ๆ ทำให้ใบบิดเบี้ยว บางทีมียางไหลออกมา

การป้องกันกำจัด

1.ฉีดพ่นด้วยการเคมี เข่น คอปเปอร์ออกซี่คลอไรด์
2.ตัดกิ่งและใบที่เป็นโรคเผาไฟทำลาย

6. โรคราสีชมพู

เกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่งอาการ เริ่มแรกจะ.ปรากฏภายในเปลือกของกิ่ง จะเป็นจุดช้ำเล็ก ๆ สีน้ำตาล ต่อมาแผลจะรุกรามถึงกันทำให้กิ่งแห้งตาย จะเห็น สีชมพูของราตรงส่วนที่แห้งคล้ายกับเอาปูนแดงไปป้ายไว้ กิ่งที่เป็นโรคจะมีใบเหี่ยวและร่วง

การป้องกันกำจัด

1.ตัดแต่งกิ่งทรงพุ่มให้โปร่งเพื่อให้แสงแดดส่อง ได้ทั่วถึง
2.ถ้าเป็นมากๆ ให้ตัดกิ่งที่เป็นโรคเผาไฟทำลาย
3.ฉีดพ่น ด้วยสารเคมี เช่นคอปเปอร์ออกซี่คลอไรด์

7. โรคจุดสนิม
เกิดจากสาหร่ายชนิดหนึ่ง อาการจะพบตามกิ่งใบและผลระบาดมากในฤดูฝนจะเห็นเป็นจุดกลม สีเขียวหรือแดงคล้ายกำมะหยี่ขี้นอยู่บนใบ ขนาดไม่แน่นอน ถ้าเกิดบนกิ่งจะทำให้กิ่งแตก ใบที่อยู่บนกิ่งนั้นจะเขียวซีดกิ่งแห้งตาย บนผลจะทำให้เนื้อเยื่อนูนผิดปกติ ผิวเปลือกแตกออก

การป้องกันกำจัด

1.ฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่นเดียวกับโรคแสค๊ป
2.ตัด กิ่ง ใบ และผล ที่เป็นโรคเผาไฟทำลาย

8. โรคราดำ
เกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่ง มักพบในสภาพที่มีหมอกลงจัด อากาศชื้นจะมีเชื้อราขึ้นตามใบและผลเป็นสีดำ ถ้าเป็นมากจะคลุมใบไม่ให้ได้รับแสงแดด ต้นส้มจะไม่งามเท่าที่ควร ถ้าเป็นที่ผลจะทำให้ผลร่วง โดยเฉพาะผลอ่อน

การป้องกันกำจัด

1.ฉีดพ่นน้ำที่ใบและกิ่งเพื่อชะล้างเชื้อราโดยตรง
2.ฉีดพ่นสารเคมีปีองกันเชื้อราเป็นครั้งคราว
3.ฉีดพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดแมลงปากดูดที่มาเกาะกินใบและถ่ายมูลทิ้งไว้ ซึ่งเป็นอาหารของเชื้อราอย่างดี สารเคมีที่ใช้ เช่นไดเมทโธเอท



จกเว็บ http://www.doae.go.th/

กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

ส้มเขียวหวาน

การผลิตส้มเขียวหวานนอกฤดู

ส้มเขียวหวาน เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เป็นที่รู้จักและนิยมบริโภคของบุคคลทั่วไปเนื่องจากมีรสชาติดีและราคาไม่แพงจนเกินไป ส้มเขียวหวานนอกจากจะใช้บริโภคภายในประเทศอย่างแพร่หลายแล้ว ยังมีการส่งส้มเขียวหวานไปจำหน่ายยังประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงอีก เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และมาเลเซียซึ่งปีหนึ่ง ๆ มีมูลค่าหลายสิบล้านบาท และจากการที่ส้มเขียวหวานเป็นผลไม้ที่คนไทยนิยมบริโภคประกอบกับมีการส่งไปขายยังตลาดต่างประเทศ จึงทำให้มีพื้นที่การผลิตเพิ่มขึ้นทุกปี

ดังนั้นพอถึงช่วงฤดูการเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งตรงกับเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม จึงมักมีปัญหาในเรื่องผลผลิตล้นตลาดอยู่เสมอ ๆ ประกอบกับมีผลไม้ชนิดอื่นเริ่มทยอยอกสู่ตลาดมากขึ้น จึงทำให้ราคาของส้มเขียวหวานลดต่ำลงมา เมื่อเป็นเช่นนี้เกษตรกรที่ปลูกส้มเขียวหวานก็พยายามที่จะหาวิธีการที่จะผลิตส้มเขียวหวานนอกฤดูกาลขึ้นเพื่อให้ผลผลิตมีขายตลาดปีและจำหน่ายได้ในราคาสูง

วิธีการบังคับส้มเขียวหวานให้ออกดอกนอกฤดูกาล

ปกติแล้วส้มเขียวหวานที่ปลูกกันโดยทั่วไปนั้นจะออกดอกในเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม และผลแก่สามารถเก็บเกี่ยวได้ประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ระยะเวลานับจากออกดอกจนถึงเก็บเกี่ยวผลผลิตประมาณ 9 เดือน แต่ถ้าจะนับจากเริ่มมีการกักน้ำจนเก็บผลผลิตก็ตกประมาณ 10 เดือนเต็ม

หากคำนึงถึงความเป็นไปได้ของการบังคับให้ส้มเขียวหวานออกดอกนอกฤดู จะเห็นได้ว่าส้มเขียวหวานที่ปลูกแบบยกร่องสามารถทำให้ออกดอกตามเวลาที่ต้องการได้ เนื่องจากสามารถควบคุมระดับน้ำได้ง่ายนั่นเอง แต่ถ้าเป็นส้มที่ปลูกในที่ดอน น้ำท่วมไม่ถึง เช่น จังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งมักจะมีปัญหาในเรื่องการให้น้ำเป็นประจำก็ต้องปล่อยให้มีการออกดอกติดผลตามฤดูปกติ และนับว่าธรรมชาติได้เป็นใจที่ให้ส้มที่ปลูกในภาคเหนือออกดอกช้ากว่าส้มที่ปลูกในภาคกลาง คือ จะเริ่มมีการออกดอกในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม และจะเก็บผลได้ในเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ส้มในภาคกลางกำลังจะหมดไปจากตลาดพอดี มีผลทำให้ส้มที่ปลูกในภาคเหนือจำหน่ายได้ในราคาที่ดีพอสมควร

การบังคับส้มเขียวหวานให้ออกดอกนอกฤดู

จะนิยมทำกับสวนที่ปลูกแบบยกร่องเพราะสามารถทำได้ง่าย กล่าวคือ ถ้าต้องการจะให้ผลส้มแก่ในช่วงไหนก็ต้องนับย้อนหลังไปประมาณ 10 เดือน แล้วเริ่มทำการงดให้น้ำ (การงดน้ำนี้จะเป็นกระตุ้นให้ต้นส้ม มีการสะสมสารประกอบประเภทแป้งและน้ำตาลภายในต้นให้สูงขึ้นจนทำให้อัตราส่วนระหว่างแป้งและน้ำตาลเปลี่ยนไปในลักษณะที่มีเปอร์เซ็นต์สูงกว่าเดิม ซึ่งในลักษณะเช่นนี้ จะเป็นปัจจัยทำให้ส้มเขียวหวานสามารถออกดอกได้) ในขณะที่ทำการงดน้ำนั้นจะต้องสังเกตว่าส้มเขียวหวานไม่มีใบอ่อน หากมีใบอ่อนจำเป็นจะต้องใส่ปุ๋ยเร่งใบเพื่อให้มีใบแก่ตลอดทั้งต้น ปุ๋ยที่ใช้เร่งใบได้แก่ปุ๋ยสูตร 1:3:3 เช่น สูตร 8-24-24 และเมื่อใบแก่แล้วจึงค่อยทำการงดน้ำต่อไป สำหรับเหตุผลที่ไม่ทำการงดน้ำในช่วงที่ส้มยังมีใบอ่อนก็คือจะทำให้ต้นโทรมมากและระบบรากก็จะเสียไป ทั้งนี้เพราะรากจะต้องดูดน้ำและธาตุอาหารอย่างมากเพื่อเลี้ยงใบอ่อนที่กำลังเจริญเติบโต

วิธีการงดน้ำที่ชาวสวนกระทำกันทั่วไป ๆ ไป

ส้มเขียวหวานเป็นไม้ผลที่คนไทยนิยมบริโภคกันทั่วไป ส่วนใหญ่จะผลิตขึ้นเพื่อบริโภคกัน ภายในประเทศแต่ก็สามารถส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศปีละหลายสิบล้านบาท เช่นกัน ตลาดส่วนใหญ่อยู่ในเอเชีย อย่างไรก็ตามส้มเขียวหวานมีโรคสำคัญอยู่คือ โรคกรีนนิ่ง และ ทริสเตซ่า ซึ่งมีผลทำให้ผลผลิตลดลงและต้นส้มตาย เป็นปัญหาสำคัญอยู่ในปัจจุบัน ขณะนี้ได้มีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวคือ การใช้พันธุ์ส้มเขียวหวานปลอดโรค ซึ่งถ้าหากสามารถแก้ไขได้ก็จะทำให้การผลิตส้มเขียวหวานสามารถผลิตได้มากขึ้น และสามารถส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น

ลักษณะทั่วไปของพืช
ส้มเขียวหวานเป็นไม้ผลกึ่งเมืองร้อน มีทรงพุ่มขนาดเล็ก ต้นสูงประมาณ 2.5 – 3 เมตร ปลูกได้ดีในดิน ทุกภาคของประเทศไทย ดินควรมีสภาพเป็น
กรด – ด่าง ประมาณ 5.7 – 6.9 แต่ถ้าปลูกในเขตภาคเหนือที่มีอากาศหนาวเย็นจะช่วยให้ผิวของผลมีสีเหลืองส้มมากขึ้น

อายุการเก็บเกี่ยว
เริ่มให้ผลผลิตเมื่ออายุ 3 ปี และให้ผลผลิตไม่ต่ำกว่า 15 ปี ถ้ามีการดูแลรักษาอย่างดี

ระยะเก็บเกี่ยว
ระยะเวลาออกดอกถึงดอกบานประมาณ 20 – 25 วัน อายุตั้งแต่ดอกบานถึงผลแก่ประมาณ 8 เดือน อายุ 10 ปี ให้ผลผลิตประมาณ 150 – 180 กก./ต้น/ปี จำนวนเฉลี่ยของผลใน 1 กิโลกรัมจะมีประมาณ 8 ผล

ฤดูกาลเก็บเกี่ยว
ช่วงที่ให้ผลผลิตมากอยู่ระหว่างเดือนกันยายน-ธันวาคม แต่โดยทั่วไปประเทศไทยสามารถผลิตส้มได้ตลอดปี

โดยการสูบน้ำออกจากร่องสวนให้หมด ต่อมาอีกประมาณ 15-20 วัน จะเห็นส้มแสดงอาการขาดน้ำโดยใบจะเริ่มห่อเข้าหากัน ต่อจากนั้นควรให้น้ำอย่างเต็มที่ โดยปล่อยน้ำเข้าท่วมแปลงจนถึงโคนต้นประมาณ 10-20 เซนติเมตร แล้วจึงลดระดับน้ำลงอยู่ในระดับปกติเหมือนกับระดับก่อนที่จะทำการงดน้ำ แต่ถ้าเป็นส้มเขียวหวานที่มีใบแก่ แต่ยังไม่มีการใส่ปุ๋ยเร่งใบมาก่อน พอถึงช่วงนี้ควรให้น้ำอย่างเต็มที่โดยการรดน้ำให้ชุ่ม หลังจากนั้นประมาณ 7 วันจะเริ่มมีการแทงตาดอกออกมาให้เห็น เมื่อมีดอกออกมาแล้วก็ให้น้ำตามปกติประมาณ 30 วัน

ต่อมาดอกจะบานและมีการติดผลในช่วงนี้ควรมีการฉีดยาป้องกันกำจัดแมลงศัตรูด้วย และเมื่อผลโตได้ขนาดเท่าหัวแม่มือให้ใส่ปุ๋ยเกรด 1:1:1 เช่นปุ๋ยสูตร 15-15-16 หรือ 16-16-16 เพื่อบำรุงผลให้มีการเจริญอย่างเต็มที่ จนเมื่อส้มเขียวหวานมีอายุผลได้ประมาณ 5 เดือนควรใส่ปุ๋ยสูตรที่มีตัวหลังสูง เช่น สูตร 13-13-21 เพื่อทำให้คุณภาพของส้มดีขึ้น และเป็นการเพิ่มความหวานให้กับผลส้มด้วย และก่อนเก็บเกี่ยวผลประมาณ 10 วันควรหยุดการให้น้ำเพื่อให้ผลส้มมีรสชาติเข้มข้น เนื้อจะไม่ฉ่ำน้ำและสามารถเก็บรักษาผลส้มไว้ได้นานกว่าแบบที่ไม่งดน้ำในช่วงนี้

วิธีการปลูกส้มเขียวหวาน

-ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน
-ควรขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างและลึกประมาณ 50 เซนติเมตร
-ผสมดิน ปุ๋ยคอก และปุ๋ยร็อคฟอสเฟตเข้าด้วยกันในหลุมให้สูงประมาณ 2 ใน 3 ของหลุม
-ยกถุงกล้าต้นไม้วางในหลุม โดยให้ระดับของดินในถุงสูงกว่าระดับดินปากหลุมเล็กน้อย
-ใช้มีดที่คมกรีดถุงจากก้นถุงขึ้นมาปากถุงทั้ง 2 ด้าน (ซ้ายและขวา)
-ดึงถุงพลาสติกออก โดยระวังอย่าให้ดินแตก
-กลบดินที่เหลือลงไปในหลุม
-กดดินบริเวณโคนต้นให้แน่น
-ปักไม้หลักและผูกเชือกยึดเพื่อป้องกันลมพัดโยก
-หาวัสดุคลุมดินบริเวณโคนต้น เช่น ฟางข้าว หญ้าแห้ง
-รดน้ำให้โชก
-ทำร่มเงาเพื่อช่วยพรางแสงแดด

ระยะปลูก
3.5 x 7 เมตร หรือ 4 x 7 เมตร

จำนวนต้น/ไร่
60 ต้น/ไร่

การดูแลรักษา
การให้ปุ๋ย ต้นที่ให้ผลผลิตแล้ว แบ่งการใส่ปุ๋ย ดังนี้

1) บำรุงต้น ให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15
2) สร้างตาดอก ใช้ปุ๋ยสูตร 12-24-12 หรือ 8-24-24
3) บำรุงผล ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15
4) ปรับปรุงคุณภาพผล ใช้สูตร 13-13-21

การให้น้ำ ระยะที่เพิ่งปลูกใหม่ๆ ต้องให้น้ำทุกวัน เมื่อต้นส้มตั้งตัวได้แล้วให้น้ำวันเว้นวันในกรณีฝนไม่ตก


การป้องกันกำจัดศัตรูพืช
1) ระยะแตกใบอ่อนให้ป้องกันหนอนชอนใบ โดยฉีดพ่นสารอิมิดาโคลปริด เมทธามิโดฟอสและป้องกันด้วงงวงกัดกินใบ โดยการฉีดพ่นสารคาร์บาริล
2) ระยะออกดอกให้ป้องกันเพลี้ยไฟ โดยฉีดพ่นสารอิมิดาโคลปริด คาร์โบซัลแฟน หรือโฟซาโลน
3) ระยะติดผลให้ป้องกันหนอนกินลูก โดยการฉีดพ่นสารคาร์ยาริล เพลี้ยไฟ ไรแดงฉีดพ่นด้วย โปรพาร์ไจท์และอิมิดาโคลปริด
4) ป้องกันกำจัดเพลี้ยอ่อน และเพลี้ยไก่แจ้ โดยสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการระบาดของโรคกรีนนิ่ง และทริสเตซ่าด้วยการฉีดพ่นสารคาร์บาริลหรือมาลาไธออน






กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

โสม

ชื่ออื่น ๆ : โสมอเมริกา, โสมเกาหลี, โสมจีน, โสมญี่ปุ่น

ชื่อสามัญ : American gingseng, Asiatic gingseng

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Panax quinquefolius Linn., P.schin-seng Ness.

วงศ์ : ARALIACEAE

ลักษณะทั่วไป


ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก ที่มีอายุเกินกว่า 2 ปี แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบ ๆ ต้น ลำต้นนี้มีความสูงประมาณ 2-3 ฟุต

ใบ : เป็นไม้ใบประกอบ ลักษณะของใบนั้นจะคล้ายกับนิ้วมือคนคือจะมีใบย่อยแผ่ออกไปอยู่ 3 ใบ มีสีเขียว

ดอก : ออกเป็นช่อ อยู่ตรงส่วนยอดของต้นหรือตามง่ามใบ ดอกมีสีขาว

ผล : เมื่อสุกจะเป็นสีแดง

การขยายพันธุ์ : ต้นโสมนี้จะต้องมีการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี จะต้องควบคุมเรื่องอุณหภูมิ แสงแดดและความชื้นด้วย มิฉะนั้นรากของต้นจะไม่สมบูรณ์ (ต้นหนึ่งจะมีรากอยู่ 2-3 แฉกขึ้นไป รากนี้เป็นรูปทรงกระบอกใหญ่ สีนวล กว้างประมาณ 1-2 นิ้วยาว 0.5-1.5 ฟุต) ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

ส่วนที่ใช้ : ราก

สรรพคุณ : ราก ใช้เป็นยากระตุ้นหัวใจและสมอง เป็นยาที่ใช้กล่อมประสาท และระงับการปวด ช่วยทำให้ทางเดินของโลหิตดี

ถิ่นที่อยู่ : ในสมัยโบราณปลูกในแถบป่าของเอเซียตะวันออก ปัจจุบันปลูกมาในอเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น จีน เกาหลี
สารเคมีที่พบ : มีไกลโคไซด์ชื่อ ginsenin, panacen, panaxic acid, panaxin, panaquilon




จากเว็บ http://health.spiceday.com/

กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

แสลงใจ

ชื่ออื่น ๆ : แสลงโทน, แสงโทน, แสงเบื่อ, ดีหมี

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Strychnos nux-vomica Linn.

วงศ์ : LOGANIACEAE (or STRYCHNAGEAE)
ลักษณะทั่วไป


ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ แตกกิ่งก้านสาขามากมายจนดูเป็นพุ่มทึบ ลำต้นสูงประมาณ 12 เมตร

ใบ : เป็นไม้ใบเดี่ยว มีใบดกจนหนาทึบ แสงแดดไม่สามารถลอดทะลุผ่านลงมาถึงพื้นดินได้ ใบของแสลงใจนี้มีสีเขียวเข้ม และเป็นมัน ตัวใบนั้นจะมีเส้นใบเพียง 3 เส้นเท่านั้น ซึ่งจะเป็นจุดที่สังเกตได้ง่ายมาก

ดอก : ออกเป็นช่อ อยู่ตรงส่วนยอดของต้น ดอกของต้นแสลงใจนี้มีขนาดเล็ก สีนวล

ผล : มีลักษณะเป็นลูกกลม ๆ เมื่อยังอ่อนมีสีเขียว และเมื่อแก่หรือสุกจะเป็นสีแสดอมเขียว เนื้อในมีสีขาวเมื่อสุกเป็นสีเหลือง (ซึ่งสารสีเหลืองนี้มีไกลโคไซด์ชื่อ โลกานิน
จะมีรสขม) มีเมล็ดอยู่ 3-5 เมล็ดเป็นรูปแบน มีขนหุ้มอยู่เป็นมันวาว

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ที่เจริญงอกงามได้ดีในดินที่ร่วนซุยจะมีความชื้นอยู่ด้วย ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และตอน

ส่วนที่ใช้ : เมล็ด

สรรพคุณ : เมล็ด ใช้เป็นยาดองเหล้าเพื่อเจริญอาหาร (แต่จะต้องใช้ในปริมาณที่น้อย อย่าใช้มากเพราะจะเป็นพิษ) ช่วยกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ

อื่น ๆ : เมล็ดภาษาอังกฤษเรียกว่า Button Seed หรือ dog Button ในตำรับยาฝรั่งเรียกว่า นุกซ์ ไวมิก้า (Nux Vomica) ซึ่งหมายถึงเมล็ดแข็งที่ทำให้อาเจียน และตำรับยาไทยเรียกว่า โกฐกะกลิ้ง เมื่อสมัยก่อนเมล็ดของแสลงใจนี้มีประโยชน์ในด้านการเบื่อสัตว์ จนใน พ.ศ. 2183 จึงได้นำมาใช้เป็นยาซึ่งผู้ที่ใช้เป็นชนชาติแรกคือ ชาวอินเดีย

สาร เคมีที่พบ : ในเมล็ดจะมีสารอัลกาลอยด์อยู่ประมาณ 1.5-5% ซึ่งส่วนมากจะเป็นสารพวก สตริคนีน (Strychnine) อยู่ 1/3-1/2 ในอัลกาลอยด์ทั้งหมด สารสตริคนีนนี้จะอยู่กึ่งกลางของเมล็ด สารนี้จะมีพิษและมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทไขสันหลังใช้เบื่อสัตว์ เช่น พวกหนู สุนัข ฯลฯ ฉะนั้นห้ามใช้เกินขนาดเพราะจะทำให้เป็นอันตรายได้ และนอกจากนี้ยังมีสารอีกชนิดหนึ่ง ที่อยู่ด้านนอกติดกับเปลือกเมล็ดมีชื่อว่า บรูซีน มีรสขมจัด ละลายได้ดีทั้งในน้ำและแอลกอฮอล์ แต่ก็มีฤทธิ์อ่อนกว่าสตริคนีน ใช้ใส่ในแอลกอฮอล์เพื่อแปรสภาพ (denature) มิให้นำแอลกอฮอล์นั้นมาดื่ม




จากเว็บ http://health.spiceday.com/

กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

เสนียด

ชื่ออื่น ๆ : หูหา (เลย), หูรา (นครพนม), เสนียดโมรา , โมรา (ภาคกลาง), กะเหนียด(ภาคใต้),
โมราขาว (เชียงใหม่), กุลาขาว, บัวฮาขาว, บัวลาขาว (ภาคเหนือ)

ชื่อสามัญ : Adhatoda, Vassica, Malabar Nut tree

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Adhatoda vasica Ness.

วงศ์ : ACANTHACEAE

ลักษณะทั่วไป


ต้น : เป็นพรรณไม้พุ่ม แตกกิ่งก้านสาขามากมายรอบ ๆ ต้น ลำต้นสูงประมาณ 3 เมตร

ใบ : เป็นไม้ใบเดี่ยว แต่ก็ค่อนข้างจะใหญ่สักหน่อย ลักษณะของใบเป็นรูปหอก ปลายแหลม โคนใบแหลมสอบ ขอบใบเรียบ พื้นใบเป็นสีเขียว และมีขนอ่อน ๆ ปกคลุมอยู่ ขนาดของใบกว้างประมาณ 1.5-2.5 นิ้วยาว 3.5-7 นิ้ว

ดอก : ออกเป็นช่ออยู่ตรงง่ามใบส่วนยอดของต้น ช่อดอกจะรวมกันเป็นแท่ง ใบเลี้ยงที่รองรับดอกมีสีเขียวเรียงกันเป็นชั้น ๆ กลีบดอกแยกออกเป็นปาก ด้านบนมี 2 แฉกสีขาว ส่วนด้านล่างมี 3 แฉกสีขาวประม่วง เกสรมี 2 อัน

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง เจริญเติบโตได้ดีในดินที่ร่วนซุยและมีความชุ่มชื้นปานกลาง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และปักชำ

ส่วนที่ใช้ : ทั้งต้น ใบ และราก

สรรพคุณ : ทั้งต้นและราก ปรุงเป็นยาบำรุงปอด และรักษาวัณโรคใบ ใช้ห้ามเลือด หรือเข้ายาหลายอย่างที่เกี่ยวกับเลือด เช่น บำรุงเลือด ฯลฯ แก้ฝี แก้หืด แก้ไอและขับเสมหะซึ่งจะนำเอาน้ำคั้นจากใบสดประมาณ 15 มล. ผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำขิงสดก่อน

อื่น ๆ : ตัวยาของต้นเสนียดนี้เป็นอนุพันธ์ของ Vasicine คือ Bromhexine ซึ่งจะมีฤทธิ์ลดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร จึงใช้เป็นยาขับเสมหะ ในปัจจุบันนี้เป็นยาที่ผลิตออกมาได้หลายรูปแบบ เช่นแบบยาเม็ด แบบยาสูดดม ยาน้ำ ยาฉีด และยาจิบน้ำเชื่อม

ถิ่นที่อยู่ : เป็นไม้ที่พบได้มากทางแถบบริเวณ ป่าเต็งรัง

สารเคมีที่พบ : ในใบพบสาร vasakin vasicinine, และมีอัลคาลอยด์ vasicine ซึ่งจะออกซิไดซ์ให้vasicinone




จากเว็บ http://health.spiceday.com/

กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

เสน่ห์จันทน์แดง (เสน่ห์จันทร์แดง)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Homalomena rubescens Kunth.

วงศ์ : ARACEAE

ลักษณะทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก ที่มีลำต้นเกิดจากหัวใต้ดิน ลำต้นตั้งตรง ไม่แตกกิ่งก้านสาขา


ต้น: โตประมาณ 1-2 นิ้ว และลำต้นสูงประมาณ 4 นิ้วนอกนั้นจะเป็นก้านใบและตัวใบ

ใบ : เป็นไม้ใบเดี่ยว แตกใบออกตรงส่วนยอดของลำต้น ซึ่งมีก้านใบเป็นสีแดงจะยาวกว่าแผ่นใบเสียด้วยซ้ำ ตรงโคนก้านใบจะเป็นกาบห่อหุ้มลำต้นอยู่ ลักษณะของใบเป็นรูปหัวใจปลายแหลม โคนใบเว้าลึก พื้นใบเป็นสีเขียวสด แต่เส้นใบเป็นสีแดง ขนาดของใบกว้างประมาณ 4-8 นิ้วยาว 6-12 นิ้ว

ดอก : ออกเป็นช่อ ตรงกลางต้น ลักษณะของดอกจะเป็นแท่งกลมและยาว ช่อดอกยาวประมาณ 3-4 นิ้ว อวบ และจะมีกาบสีแดงห่อหุ้มดอกเอาไว้

ผล : มีขนาดเล็ก และสด จับดูจะนุ่ม ๆ

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้ในที่ร่มหรือแดดรำไร ชอบดินที่มีความชื้นสูงแต่ต้องระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบน้ำขัง ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำหรือแยกหัว

ส่วนที่ใช้ : ทั้งต้น ใบ และหัว (เหง้า)

สรรพคุณ : ทั้งต้น จะมีสารเป็นพิษชนิดหนึ่งอยู่ฉะนั้นจึงใช้เป็นยาพิษ

ใบ ใช้รักษาแผล และเป็นพิษเช่นกัน

หัว (เหง้า) ใช้เป็นยาทาเฉพาะภายนอกเท่านั้น คือจะช่วยแก้โรคไขข้ออักเสบ

อื่น ๆ : เสน่ห์จันทน์แดงนี้เป็นพรรณไม้ที่มีพิษชนิดหนึ่ง ฉะนั้นจึงใช้รักษาเฉพาะโรคภายนอก ซึ่งเราจะสังเกตได้จากสรรพคุณของต้น

จากเว็บ http://health.spiceday.com/

กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...