แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ไม้พุ่ม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ไม้พุ่ม แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ต้นคริสต์มาส (Poinsettia พอยน์เซตเทีย)

ต้นคริสต์มาส (Poinsettia พอยน์เซตเทีย)
ต้นคริสต์มาส (Poinsettia พอยน์เซตเทีย) ต้นคริสต์มาสเป็นพืชไม่ค่อยชอบน้ำ ชอบอยู่ในที่แสงแดดรำไร อย่ารดน้ำมากไปจนดินแฉะตลอดเวลาเพราะจะทำให้รากเน่าใบเริ่มเหี่ยวและตายในที่สุด วิธีรดน้ำที่ดีคือเมื่อหน้าดินเริ่มแห้งจึงค่อยรดน้ำ ต้นคริสต์มาสไม่ชอบแสงแดดจัดๆ ถ้าโดนแดดจัดๆ ใบจะไหม้

ต้นคริสต์มาสมีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Euphorbia pulcherima จัดอยู่ในวงศ์ EUPHORBIACEAE มีถิ่นกำเนิดมาจาก อเมริกาใต้ แถบเม็กซิโกและกัวเตมาลา ส่วนประเทศไทยเริ่มนิยมปลูกอยู่ในแถบภาคอีสานและภาคเหนือ

ลักษณะของต้นคริสต์มาส เป็นไม้ทรงพุ่มขนาดกลางสูงได้ถึง 3 เมตร แตกกิ่งชี้ตั้งขึ้น เป็นพุ่มแน่น ต้นคริสต์มาสเป็นพืชตระกูลเดียวกับโกสนและโป๊ยเซียน ลำต้นแก่มีสีน้ำตาล ส่วนลำต้นอ่อนจะเป็นสีเขียว  ใบอ่อนด้านบนซึ่งก็คือส่วนของใบเลี้ยงสามารถเปลี่ยนสีได้ ซึ่งสีที่ได้จะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ทั้งสีแดง สีเหลือง สีขาว และ สีชมพู ซึ่งจะเปลี่ยนสีในช่วง เดือนตุลาคมถึงปลายเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่มีอากาศหนาว ส่วนช่วงเวลาอื่นจะมีใบสีเขียวตามปกติ นอกจากใบอ่อนด้านบนแล้วยังมีส่วนของใบล่างซึ่งจะมีสีเขียวเขียวเข้ม ขอบใบหยัก ดอกของต้นคริสต์มาสจะเป็นกลุ่มดอกกระจุกเล็กๆ อยู่ปลายยอด ไม่มีกลีบดอก และสีไม่สวยสะดุดตา  ผลค่อนข้างกลม  ต้นคริสต์มาสมีข้อควรระวังคือ ในลำต้นและใบจะมีน้ำยางสีขาวมีพิษทำให้ระคายเคืองผิว

ประโยชน์ของต้นคริสต์มาส  ปลูกเป็นไม้ประดับตามอาคารบ้านเรือนปลูกประดับได้ทั้งด้านในและด้านนอกสถานที่ หรือจะปลูกใส่กระถางเพื่อมอบเป็นของขวัญก็ได้ ใบอ่อนสามารถนำมาพอกผิวหนังเพื่อแก้โรคไฟลามทุ่งได้ และต้นคริสต์มาสยังช่วยฟอกอากาศ ดูดซับสารพิษได้

การขยายพันธุ์  นิยมตัดกิ่งปักชำ ปลูกได้ในดินทุกชนิด เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ไม่ชอบน้ำขัง ไม่ชอบแสงแดดจัดๆ สามารถปลูกได้ในกระถาง

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

มะแฮะนก

มะแฮะนก

วงศ์ LEGUMINOSAE - PAPILIONOIDEAE
Flemingia lineata (L.) W.T.Aiton var. lineata
(syn. Moghania lineata (L.) O.Kuntze)

ชื่อสามัญ มะแฮะนก (เชียงใหม่) ; ขมิ้นธรณี ,ขมิ้นมัทรี

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์และเกษตร เป็นไม้พุ่มลำต้นตั้งตรง สูง 80 - 125 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 4.2 - 6.6 มิลลิเมตร ใบประกอบแบบขนนกมี 3 ใบย่อย (trifoliate) ใบรูปไข่กลับแกมใบหอก (obovate-lanceolate) ใบย่อยบนสุดยาว 6.34 - 8.22 เซนติเมตร กว้าง 1.86 - 2.34 เซนติเมตร ใบย่อยด้านข้างยาว 4.7 - 6.36 เซนติเมตร กว้าง 1.45 - 1.91 เซนติเมตร ก้านใบรวมยาว 2.13 - 2.59 เซนติเมตร สีใบเขียว นุ่มปานกลาง หน้าใบ หลังใบ และก้านใบมีขนสั้นๆปกคลุมปานกลาง เส้นใบ (vein) และเส้นกลางใบ (mid rib) ของส่วนหลังใบเป็นสันนูนขึ้น ขอบใบเป็นขนครุยสั้นๆ (ciliate) หูใบรูปแถบเรียวยาวไปส่วนปลาย ช่วงออกดอกประมาณเดือนตุลาคมถึงปลายเดือนมกราคม ดอกเดี่ยวรูปดอกถั่วออกที่ปลายยอดและตามซอกใบ สีดอกชมพู-แดง ความยาวของดอกถั่ว 0.47 - 0.65 เซนติเมตร ฝักรูปขอบขนาน (oblong) ยาว 0.65 - 0.89 เซนติเมตร กว้าง 0.41 - 0.53 เซนติเมตร เมล็ดรูปกลมสีน้ำตาล-ดำ 1-2 เมล็ด ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเมล็ด 2 - 2.3 มิลลิเมตร

แหล่งที่พบและเก็บรวบรวมพันธุ์ พบขึ้นในพื้นที่โล่งแจ้งและป่าผลัดใบ สภาพดินร่วนทราย ดินเหนียว เช่น ตำบลบุ่งคล้า อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ (PC 181) ตำบลบุโฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย (PC 199) ที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 543 เมตร และพบมีขึ้นอยู่ทั่วไปในป่าชุ้มชื้น สภาพดินทรายละเอียด เช่น ตำบลคลองแสง อำเภอบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี

คุณค่าทางอาหาร ระยะก่อนออกดอกอายุประมาณ 12 สัปดาห์ มีค่าโปรตีน 16.21 เปอร์เซ็นต์ ไขมัน 1.41 เปอร์เซ็นต์ เยื่อใย 28.66 เปอร์เซ็นต์ เถ้า 4.77 เปอร์เซ็นต์ NFE 48.95 เปอร์เซ็นต์ เยื่อใยส่วน ADF 34.08 เปอร์เซ็นต์ NDF 52.33 เปอร์เซ็นต์ เฮมิเซลลูโลส 18.25 เปอร์เซ็นต์ และ ลิกนิน 10.93 เปอร์เซ็นต์

การใช้ประโยชน์ เป็นอาหารสัตว์ โค กระบือ แพะ และสัตว์ป่า ทนต่อสภาพน้ำท่วมขัง ดินระบายน้ำไม่ดี


วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

ครามดอย

ครามดอย

วงศ์ LEGUMINOSAE - PAPILIONOIDEAE
Indigofera cassioides Rottl.ex DC.

ชื่อสามัญ เสียดเครือ (เลย) ; ครามดอย (ภาคเหนือ)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์และเกษตร เป็นไม้พุ่ม (shrub) อายุหลายปี ต้นสูง 3-4 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 19.21-40.03 มิลลิเมตร ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ (odd-pinnate) ใบเรียงตรงข้ามกัน (opposite) บางกิ่งใบเรียงแบบสลับ (alternate) รูปร่างใบย่อยแบบรูปไข่ (oval) ใบยาว 1.76-2.14 เซนติเมตร กว้าง 0.85-1.22 เซนติเมตร ก้านใบรวมยาว 12.45-16.29 เซนติเมตร หน้าใบ หลังใบมีขนละเอียดสั้น ๆ ปกคลุมจำนวนมาก ก้านใบมีขนคลุมปานกลาง ใบสีเขียวอ่อน ผิวใบค่อนข้างหยาบเล็กน้อย เส้นใบ (vein) ปลายโค้งจรดกัน (anastomosing) ขอบใบสีเหลือง เรียบ (entire) ปลายใบ (apex) มีติ่งเป็นเส้นยาวประมาณ 0.5 มิลลิเมตร หูใบ (stipnle) แบบหนาม (spinous) สีเขียวอมน้ำตาล ลำต้นสีเขียวปนสีน้ำตาล ไม่มีขนคลุม ออกดอกเดือน สิงหาคม – เมษายน ช่อดอกแบบช่อกระจะ (raceme) ชูขึ้น ช่อดอกออกที่ปลายยอดและตาข้าง มีดอกพร้อมกันเต็มลำต้น ช่อดอกยาว 7.69-11.65 เซนติเมตร ดอกรูปดอกถั่วมี 12-30 ดอกต่อช่อ กลีบดอกกลาง (standard) สีชมพูสดอมม่วงอ่อนด้านในมีแถบสีขาวตรงกลาง กลีบคู่ข้าง (wing) สีชมพูเข้มกว่า กลีบคู่ล่าง (keel) สีชมพูมีแถบขาวตรงกลาง ก้านเกสรตัวเมีย (stigma) สีเขียวตองอ่อน อับเรณู (anther) สีเหลืองอ่อนแกมสีเขียวตองอ่อน ฝักขนาดเล็กรูปกลม ปลายยอดมีติ่งเป็นเส้น สั้น ๆ ขนาดฝักยาว 2.48-3.62 เซนติเมตร กว้าง 0.23-0.31 เซนติเมตร มี 19-30 ฝักต่อช่อ ฝักแก่ไม่แตก
แหล่งที่พบและเก็บรวบรวมพันธุ์ พบขึ้นอยู่พื้นที่ป่าโปร่งเต็ง รัง ป่าละเมาะ ดินร่วนทราย เช่น เขตตำบลเขาแก้ว อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย (PC 195)

คุณค่าทางอาหาร ส่วนใบรวมก้านใบย่อยมีค่าโปรตีน 12.78เปอร์เซ็นต์ ไขมัน 1.91 เปอร์เซ็นต์ เถ้า 14.22 เปอร์เซ็นต์ คาร์โบไฮเดรท (NFE) 46.31 เปอร์เซ็นต์ เยื่อใยส่วน ADF 34.21 เปอร์เซ็นต์ NDF 43.47 เปอร์เซ็นต์ เฮมิเซลลูโลส 9.26 เปอร์เซ็นต์ ลิกนิน 10.33 เปอร์เซ็นต์

การใช้ประโยชน์ เป็นแหล่งอาหารสัตว์ตามธรรมชาติ สำหรับแทะเล็มของโค-กระบือ


วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

แก้วมือไว

แก้วมือไว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pterolobium integrum Craib.

วงศ์
: Papilionoideae


ชื่อสามัญ
: flowered beggarweed


ชื่ออื่น
: กะเทว, กะแท้วแดง (เลย) ; แก้วตาไว, แก้วมือไว (ภาคกลาง) ; ขี้แร็ก (ราชบุรี) ; เด่นแทว (ภาคตะวันออก) ; เขนแทว, ทับเพียว (นครราชสีมา) ; หนามเล็บแมว, หนามเหียง (ตาก)


ลักษณะทั่วไป
: เป็นไม้พุ่ม ขนาดเล็ก อายุหลายปี แตกกิ่งก้านมาก ต้นตั้งสูง 63.75-100.97 เซนติเมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 7.37-11.05 มิลลิเมตร ลำต้นเหนียว สีเขียวอมน้ำตาล มีขนสีขาวยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร ปกคลุมหนาแน่น ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ (odd-pinnate) เรียงตรงข้ามกัน (opposite) ใบเป็นแบบรูปขอบขนานแกมรูปไข่ (ovate-oblong) โคนใบกลม ปลายใบเว้าบุ่ม (retuse) มีติ่ง ขนาดใบยาว 1.9-2.5 เซนติเมตร กว้าง 0.9-1.3 เซนติเมตร หน้าใบ หลังใบมีขนละเอียดสั้น ๆ สีขาวปกคลุมหนาแน่น ใบสีเขียว ผิวใบนุ่ม เส้นกลางใบ (mid rib) เล็กยาวจากโคนถึงปลายใบ เส้นใบ (vein) เรียงตัวแบบโค้งจรดกัน (anastomosing) เส้นใบด้านหลังมองด้วยตาเปล่าไม่ชัดเจน ขอบใบเรียบ (entire) หูใบ (stipule) แบบรูปเข็มแหลม (filiform) สีม่วงอมแดง ยาวประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ก้านใบรวมยาว 4.22-5.92 เซนติเมตร ก้านใบย่อยยาว 1-2 มิลลิเมตร และมีขนคลุม ออกดอกเดือน มิถุนายน-มีนาคม ช่อดอกขนาดเล็กออกที่ตาข้างแบบช่อกระจะ (raceme)มีจำนวนมาก ช่อดอกยาว 1.14-1.8 เซนติเมตร ช่อดอกย่อยยาว 0.4-0.6 เซนติเมตร มี 8-26 ดอกต่อช่อ ก้านช่อดอกสั้นมาก ยาว 0.05-0.2 เซนติเมตร ดอกรูปดอกถั่ว กลีบกลาง (standard) สีเขียวอมแดง กลีบคู่ข้าง (wing) สีชมพูอมส้ม กลีบคู่ล่าง (keel) สีเขียว ฝักรูปทรงกระบอกกลม มี 10-21 ฝักต่อช่อ ฝักยาว 2.36-2.8 เซนติเมตร กว้าง 0.18-0.26 เซนติเมตร ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด


ประโยชน์ : ส่วนยอดอ่อนและใบ เป็นแหล่งอาหารสัตว์ตามธรรมชาติ สำหรับแทะเล็มของโค-กระบือ


จากเว็บ http://www.rspg.or.th

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

โมกราชินี

ชื่อพื้นเมือง : โมกราชินี

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Wrightia sp.

ชื่อวงศ์ : APOYNACEAE

ลักษณะวิสัย : ไม้พุ่ม

ลักษณะพิเศษของพืช : ดอกสีขาว รูปร่างคล้ายดอกโมกป่า

ประโยชน์ : ปลูกเป็นไม้ประดับและไม้มงคล

โมกราชินี พรรณไม้ชนิดใหม่ของโลกค้นพบโดยศาสตราจารย์ ดร. ธวัชชัย สันติสุข ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสำรวจและจำแนกพรรณไม้ กรมป่าไม้ ในระหว่างโครงการสำรวจพรรณพฤกษชาติภูเขาหินปูน ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 จากการศึกษาค้นคว้าเอกสารและตรวจสอบตัวอย่างพรรณไม้อ้างอิงในหอพรรณไม้ต่างประเทศที่เกี่ยวข้องหลายประเทศ ยังไม่เคยปรากฏชื่อหรือรายงานลักษณะรูปพรรณของพรรณไม้ชนิดนี้มาก่อน และ Dr. D.J. Middleton ผู้เชี่ยวชาญพรรณไม้วงศ์ APOCYNACEAE ของโลกแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์-วาร์ดประเทศสหรัฐอเมริกายืนยันและสนับสนุนการยกรูปพรรณไม้สกุลโมกมัน ( Wrightia ) นี้เป็นพรรณไม้ชนิดใหม่ของโลก การค้นพบพรรณไม้ชนิดใหม่นี้มีความสำคัญยิ่งต่อวงการพฤษศาสตร์ เนื่องจากในปัจจุบันโอกาสค้นพบพรรณไม้ชนิดใหม่ของโลกในวง APOCYNACEAE มีน้อยมาก โดยเฉพาะประเภทไม้ต้น พรรณไม้ใหม่นี้เป็นชนิดที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ มีลักษณะดอกที่สวยงาม จัดเป็นพรรณไม้ถิ่นเดียว ( Endemic species ) พบเฉพาะในประเทศไทย มีสถานภาพเป็นพรรณไม้ที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ ชนิดหนึ่งของโลก ( Rare and endangered species ) สมควรที่จะอนุรักษ์และนำมาปลูกขยายพันธุ์ต่อไป กรมป่าไม้จึงขอพระราชทานพระราชานุญาตให้ชื่อพรรณไม้ชนิดใหม่ของสกุล Wrightia ตามพระนามของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ว่า " Wrightia sirikitiae Middleton & Santisuk " เพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ จากการที่ได้ทรงสนับสนุนและทรงริเริ่มโครงการต่าง ๆ ด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากร ความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทยอย่างจริงจังและต่อเนื่องและเพื่อเป็นสิริมงคลในวงการ พฤกษศาสตร์ของประเทศไทย




วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

เกล็ดลิ่นใหญ่

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Phyllodium pulchellum (L.) Desv.

วงศ์ : Leguminosae-caecalpinodeae

ชื่ออื่น : เกล็ดปลาช่อน (สระบุรี); เกล็ดลิ่นใหญ่(นครราชสีมา); ลิ่นต้น, หญ้าสองปล้อง (ภาคกลาง);ลูกหนีบต้น (ปราจีนบุรี);หญ้าเกล็ดลิ่น (ภาคเหนือ,ภาคใต้); หางลิ่น (สุราษฎร์ธานี)

ลักษณะทั่วไป : เป็นไม้พุ่ม(shrub)ขนาดเล็ก อายุหลายปี ปลายยอดค่อนข้างตั้ง ต้นสูง 102.19-113.57 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 32.4 – 37.2 มิลลิเมตร ลำต้นสีน้ำตาลแดงมีขนปกคลุมปานกลาง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับ มี ใบย่อย3 ใบย่อยและมีก้านใบ(pinnately-trifoliate) รูปร่างใบย่อยแบบรูปไข่แกมใบหอก(ovate lanceolate) โคนค่อนข้างกลม แผ่นกลางใบกว้างโค้งไปปลายใบ ปลายใบค่อนข้างมน(obtuse) ใบกลางยาว 9.9-13.1 เซนติเมตร กว้าง 4.3-7.3 เซนติเมตร ใบย่อยข้างขอบใบล่างโค้งเบี้ยวเล็กน้อย ใบข้างยาว 5.51-8.67 เซนติเมตร กว้าง 2.47-5.09 เซนติเมตร ซอกใบมีกิ่งใบย่อยเกิดซ้อน ใบสีเขียวเข้ม หน้าใบและหลังใบมีขนสั้นๆปริมาณปานกลาง ขอบใบเรียบมีสีน้ำตาลแดง ผิวใบค่อนข้างหยาบเล็กน้อย หน้าใบมีผิวมัน นูนขึ้นเล็กน้อยและย่น(rugose) หลังใบผิวค่อนข้างสาก ซึ่งแตกต่างจากต้นเกล็ดปลาหมอ(Phyllodium elegan)ที่มีผิวใบนุ่ม มีขนละเอียดปกคลุมหนาแน่นทั้งหน้าใบและหลังใบ มีปลายใบสอบเรียว ขอบใบสีน้ำตาลเหลือง ต้นเกล็ดปลาช่อนมีก้านใบสีน้ำตาลแดง มีขนละเอียดปกคลุมมาก ก้านใบยาว 0.88-1.02 เซนติเมตร หูใบค่อนข้างแข็งเรียวแบบหนาม(spinous) ออกดอกประมาณเดือนตุลาคม-ธันวาคม ดอกออกตามซอกใบและปลายยอด ความยาวช่อดอกรวม 9.13-13.93 เซนติเมตร ลักษณะดอกออกเป็นกระจุกมีใบประดับลักษณะคล้ายเกล็ดปลาประกบไว้สองใบ ดอกเดี่ยวรูปดอกถั่ว กลีบดอกสี เหลืองนวล อับเรณู(anther)สีเหลือง ในแต่ละช่อมี 21-36 ช่อดอกย่อย รูปฝักแบนคอดเป็นข้อๆ ฝักแก่สีดำอมน้ำตาล มีขนปกคลุม ฝักยาว 0.88-1.06 เซนติเมตร กว้าง 0.27-0.41 เซนติเมตร มี 1-3 ข้อ มี 2-5 ฝักต่อช่อ

ประโยชน์ : เป็นแหล่งอาหารสัตว์ตามธรรมชาติของ โค กระบือ สำหรับแทะเล็ม

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

กำแพงเจ็ดชั้น

ชื่อพื้นเมือง : กำแพงเจ็ดชั้น (ระยอง, ตราด, ประจวบคีรีขันธ์) ตะลุ่มนก (ราชบุรี), ตาไก้ (พิษณุโลก,นครราชสีมา), น้ำนอง มะต่อมไก่ (ภาคเหนือ), หลุมนก (ภาคใต้)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Salacia chinensis L.

ชื่อวงศ์ : CELASTRACEAE

ลักษณะทั่วไป : ไม้พุ่มรอเลื้อย สูง

2-6 เมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรี รูปไข่ หรือรูปไข่กลับ ปลายแหลมหรือมน โคนสอบ ขอบหยักหยาบๆ ดอกออกเป็นกลุ่มหรือเป็นช่อสั้นๆ ที่ง่ามใบ ดอกเล็ก สีเขียวอมเหลืองหรือเหลือง กลีบเลี้ยงเล็กมาก กลีบดอก 5 กลีบ รูปไข่ป้อม ผลค่อนข้างกลมหรือรี เส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 เซนติเมตร ผลสุกสีแดงหรือแดงอมส้ม มี 1 เมล็ด เมล็ดค่อนข้างกลม
คุณประโยชน์ : ผลกินได้ ในฟิลิปปินส์ใช้รากเข้ายาแผนโบราณเพื่อบำบัดอาการปวดประจำเดือนหรืออาการประจำเดือนผิดปรกติบำรุงโลหิตและช่วยระบายลมในท้อง ลดอาการปวดเมื่อยตามข้อ มีสรรพคุณคล้ายกับใบข่า แต่ใช้ต้มดื่ม โดยนำมาฝานให้เป็นแว่นๆ แล้วต้มในน้ำจนเดือด น้ำจะเป็นสีชา มีรสจืด ดื่มแทนน้ำได้เลย
ราก แก้ลมอัณฑพฤกษ์ ขับลม รักษาโรคตา บำรุงน้ำเหลืองหัว รักษาบาดแผลเรื้อรัง รักษาตะมอยหรือตาเดือนหัวใจ แก้ไข้ แก้โรคปวดบวมตามข้อ แก้ประดง แก้ซางให้ตาเหลือง แก้ดีพิการใบ แก้มุตกิต ขับโลหิตระดู ขับน้ำคาวปลาดอก แก้บิดมูกเลือดต้น ขับลม แก้น้ำดีพิการ แก้เสมหะ แก้ไข้ ขับปัสสาวะ บำรุงโลหิต แก้ปวดตามข้อ



วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553

เทียนหยดขาว

ชื่อสามัญ: Sky flower; Golden dew drop;
Pigeon berry

ชื่อวิทยาศาสตร์: Duranta repens L.;
Duranta erecta L.

ชั้น: Magnoliopsida

ตระกูล: Lamiales

ชื่อวงศ์: Verbenaceae

ลักษณะทั่วไป เป็นพรรณไม้พุ้มเตี้ย สูง 1 - 2 เมตร แตกกิ่งก้านหนาแน่น ยอดกิ่งลู่ลง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม และจะออกหนาแน่นเป็นกระจุกรอบกิ่งก้านในช่วงปลายยอดใบเป็นรูปรีแกมรูปไข่ ปลายใบแหลม โคน
ใบสอบ ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย ใบเป็นสีเขียวสด เวลาใบดกจะเป็นพุ่มน่าชมมาก ดอกออกเป็นช่อที่ซอก
ใบและปลายกิ่งแต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ช่อดอกจะห้อยลงเป็นระย้า ลักษณะดอก โคน
เป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 กลีบ ดอกแต่ละกลีบเป็นอิสระกัน ปลายกลีบโคงมน มีเว้าเล็กน้อยบริเวณ
กลางกลีบ โคนกลีบสอบแคบ เวลามีดอกดกๆและบานพร้อมๆกันทั้งต้น ช่อดอกจะห้อยปลายลงเป็นระย้า
ดูงดงามมาก ดอกจะออกทั้งปี มีพันธุ์สีมว่งและสีขาว ผลทรงกลม ขนาดเล็กปลายแหลม อยู่รวมกันเป็นช่อ
ห้อยลงเมื่อแก้เป็นสีเหลือง

สภาพการปลูก เทียนหยดปลูกขึ้นได้ในดินทั่วไป ไม่ชอบน้ำท่วมขัง ชอบแดดจัดเหมาะจะปลูกลงดินกลางแจ้ง
หรือลงกระถาง ตั้งวางในที่มีแดดส่องถึงทั้งวัน นิยมปปลูกเป็นไม้ขอบแปลงหรือแปลงใหญ่

การขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์โดย การเพาะเมล็ด ตอนหรืปักชำกิ่ง

การดูแลรักษา หลังการปลูก บำรุงด้วยปุ๋ยมูลสัตว์ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก 10 วันครั้งรดน้ำพอชุ่มเช้าเย็น ถ้าปลูกลงกระถาง ควรให้ปุ๋ยสูตร 16-16-16 อาทิตย์ละครั้ง สลับกับปุ๋ยมูลสัตว์ 10 วันครั้ง ตัดแต่งกิ่ง พรวนดินเสม่ำเสมอ
จะทำให้ต้นเทียนหยด เจริญเติบโตเร็ว


กลับสู่หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

เทียนหยดม่วง

ชื่อพื้นเมือง : เทียนหยด, พวงม่วง, ฟองสมุทร

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Duranta repens L.
ชื่อวงศ์ : VERBENACEAE

ชื่อสามัญ. : Golden Dewdrop, Pigeon-berry,
Sky-flower
ลักษณะทั่วไป : เทียนหยดเป็นไม้รอเลื้อย ถิ่นอาศัยเป็นพืชบกอยู่กลางแจ้ง มีความสูงประมาณ 2-3 เมตร รูปร่างสามารถดัดตามรูปทรงต่างๆ มีลำต้นเหนือดินตั้งตรงเองได้ ผิวลำต้นเรียบ ต้นอ่อนมีสีเขียวอ่อน ส่วนต้นแก่มีสีน้ำตาลอ่อน ไม่มีน้ำยาง ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ ใบอ่อนมีสีเขียวอ่อน ใบแก่มีสีเขียวเข้ม ถ้าอยู่ในที่โล่งแจ้งมีเหลืองอ่อน ขนาดของใบกว้าง 2 ซนติเมตร ยาว 4 เซนติเมตร การเรียงตัวของใบบนกิ่งเรียงตรงข้ามกัน รูปร่างแผ่นใบเป็นรูปรี ปลายใบแหลม โคนใบเป็นรูปลิ่ม รูปขอบใบหยักซี่ฟัน ส่วนดอกเป็นช่อกระจุกออกดอกปลายยอด ดอกสีม่วง กลีบดอกติดกันรูปกรวย ผลอ่อนมีสีเหลืองอมส้ม ผลแก่มีสีเหลือง รูปร่างของผลกลม มี 1เมล็ดต่อผล


ประโยชน์ :ใบ ใช้ห้ามเลือด ขับเสมหะ



วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

คนที่เขมา

ชื่ออื่น ๆ : กูนิง (มาเลเซี - นราธิวาส), กุโนกามอ (มาเลเซีย - ปัตตานี), หวงจิง (จีนกลาง),อึ่งแกง (แต้จิ๋ว) Negundo Chest Nut

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Vitex negundo Linn.

วงศ์ : VERBENACEAE

ลักษณะทั่วไป

ต้น : เป็นพรรณไม้พุ่มมีความสูงประมาณ 6 เมตร

กิ่ง : กิ่งนั้นจะมีกลิ่นหอม ส่วนกิ่งอ่อนจะเป็นเหลี่ยม มีสีเทาและจะมีขนอ่อนปกคลุมด้วย

ใบ :ใบจะมีกลิ่นหอมเหมือนกิ่ง แต่ใบจะออกตรงกันข้าม ใบนั้นจะเป็นใบรวมมีลักษณะคล้ายรูปมือ และจะประกอบด้วยใบย่อยประมาณ 5 หรือ 3 ใบตรงปลายใบของมันจะยาวแหลมยาว ขอบใบ นั้นจะเรียบหรือมีรอยหยักเล็กน้อยหลังใบจะมีสีเขียวเข้ม และตรงท้องใบจะมีสีขาว
ปกคลุมด้วย ขนอ่อน

ดอก : ดอกจะมีขนาดเล็กมีอยู่เป็นจำนวนมาก จะออกดอกเป็นช่ออยู่ตรงปลายยอด

ผล : มีลักษณะกลม แห้งเปลือกแข็ง มีสีน้ำตาล รูปกลมรี มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 มม.

การขยายพันธุ์ : โดยการปักชำ

ส่วนที่ใช้ : เปลือก ใบ ผล ช่อดอก และราก ใช้ทำเป็นยา

สรรพคุณ : เปลือก ใบผล ช่อดอก และรากใช้ทำเป็นยา

ใบ ใช้ผสมในน้ำอาบ เพื่อให้มีกลิ่นหอม หรือจะใช้ทาหน้าผาก รักษาอาการปวดศีรษะรักษาไข้หวัด เจ็บคอ ไอ โรคปวดตามข้อ หูอื้อ รักษาบิดไม่มีตัวลำไส้อักเสบรักษาไข้มาลาเรีย ดีซ่าน บวมฟกช้ำ กลาก เกลื้อน ฝี เชื้อรา ที่ เท้าบาดแผลจากของมีคม สุนัข หรือตะขาบกัด ไล่แมลง

ผล ใช้เป็นยาขับเสมหะรักษาไข้หวัด หอบหืด ได เหน็บชา รักษาไข้มาลาเรีย ไข้รากสาดน้อย (typhoidfever) ปวดท้องโรคกระเพาะ กระเพาะอาหารเป็นแผลกระเพาาะอาหารอักเสบเรื้อรัง ฝีคัณฑสูตร

ช่อดอก ใช้เป็นยาลดไข้ ฝาดสมาน รักษาอาการท้องเสีย

ราก ใช้เป็นยารักษาไข้หวัด ขับเสมหะ ไอ หอบหืด ขับปัสสาวะ รักษาโรคไข้มาเลเรียโรคปวดตาม ข้อ โรคกระเพาะอาหาร ขับพยาธิเส้นด้าย (พยาธิเข็มหมุด)

อื่น ๆ : เป็นพรรไม้พื้นเมืองของอเมริกาและได้แพร่พันธุ์ มายังเอเซียตอนใด้ ถึงญี่ปุ่นและต่อมายังเอเซีย

ถิ่นที่อยู่ : พรรณไม้นี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกา

ตำรับยา

1.โรคใข้มาลาเรีย ให้ใช้ใบสดประมาณ 180 กรัม ใส่น้ำให้ท่วมแล้วนำไปต้มใช้ไฟอ่อน ๆ เคี่ยวให้ ข้น จนเหลือราว ๆ ถ้วยครึ่งแล้วแบ่งรับประทานครึ่งหนึ่งก่อนมีอาการหลังจากกินแล้วประมาณ 2 ชั่วโมงให้กินส่วนที่เหลือหรือจะใช้รากสดประมาณ 30 กรับต้มกับน้ำกินก่อนมีอาการราว ๆ 3 ชั่วโมง

2. โรคไข้รากสาดน้อยและไอ ให้นำผลประมาณ 3-10 กรับ นำมาคั่วอย่าให้ไหม้เพราะจะทำให้ยาไม่มีฤทธิ์ แล้วต้มน้ำกิน

3. ไข้หวัด ลำไส้อักเสบ บิดไม่มีตัว ให้ใช้ใบสดประมาณ 30-40 ใบ หรือประมาณ 10 กรัม นำไปต้มกับน้ำกินวันละ 3 เวลา

4. ปวดท้องโรคกระเพาะ ให้ใช้ผลที่แห้งแล้วประมาณ 3-10 กรัม นำมาบดให้เป็นผง แล้วปั้นเป็นเม็ดใช้กิน

5.กระเพาะอาหารเป็นแผล กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังให้ใช้ผลที่แห้งแล้วประมาณ30 กรัม นำมาต้มน้ำหรือบดเป็นผงกิน หรือจะใช้รากสดประมาณ 30 กรัมให้น้ำตาลแดง ปริมาณพอควรต้มน้ำกิน

6. ฝีคัณฑสูตร ให้ใช้ผลที่แห้งแล้วประมาณ 15 กรัม แล้วนำมาคั่วบดเป็นผง หรืออาจจะใช้เหล้าเล็กน้อยนำมาผสมกิน ตอนท้องว่าง

7. หอบหืด ให้ใช้ผลแห้งประมาณ 501 ลุกหรือจะใช้ประมาณ 6-15 กรัม นำมาบดเป็นผง แล้วใส่น้ำตาลทรายจำนวนพอควร แล้วชงน้ำกินวันละ 2 เวลา

8. แผลผุพองจากไฟไหม้ ให้กำกิ่งที่แห้งแล้ว มาคั่วอย่าให้ไหม้ แล้วบดเป็นผงนำมาผสมกับน้ำมัน ใช้ทาบริเวรที่เป็นแผล

9. เชื้อราที่เท้า ให้ใช้ใบสดตำให้ละเอียด แล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็นเชื้อรา

10. โรคปวดตามข้อ ให้ใช้กิ่งสดประมาณ 15 กรัม นำมาต้มน้ำ แล้วแบ่งกิน 2 เวลา เช้า - เย็น

11. ไล่แมลง ให้ใช้ใบแห้งปูรองเมล็ดพืชกันแมลงรบกวน

12.ขับพยาธิเส้นด้าย ให้ใช้รากสดประมาณ 30 กรัม นำมาหั่นเป็นชิ้นบาง ๆแล้วนำมาคั่วกับเหล้าให้หวานจนเป็นสีเหลือง แล้วใส่น้ำประมาณ 2 ถ้วยต้มให้เหลือเพียง 1 ถ้วย ใช้กินก่อนอาการค่ำ

13. บาดแผลจากของมีคม สุนัขหรือตะขาบกัด ให้ใช้ใบสด ตำให้ละเอียด แล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็น

ข้อมูลทางคลีนิค

1. ใช้รักษาหลอดลมอักเสบเรื้อรัง นอกจากนี้แล้วยังมีฤทธิ์สามารถขับเสมหะ รักษาอาการไอ และ หอบอีกด้วย

2. ใช้รักษาโรคบิดไม่มีตัว

3. ใช้รักษาโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง นอกจากนี้แล้วยังใช้ชงดื่มแทนชาเพื่อป้องกันลำไส้อักเสบได้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา: ทำให้หลอดลมของหนุขาวขยายตัว นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ขับเสมหะและยังยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียได้ด้วยเมื่อฉีดน้ำต้มเมล็ดและรากเข้าไปในปอดของหนูขาวสารละลายที่ได้จาการต้มรากจะ มีฤทธิ์ระงับไอในหนูถีบจักรสารที่สกัดได้จากใบ จะมีฤทธิ์ด้านเชลล์ในเนื้องอกชนิดเออร์ลิช แอลไชติส (Ehrlich ascites tumour cells )


จากเว็บ http://health.spiceday.com/viewthread.php?tid=53044

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

คนทา

ต้นคนทา

Harrisonia perforata (Blanco) Merr.
SIMAROUBACEAE

ชื่ออื่น กะลันทา สีฟ้น สีฟันคนตาย สีฟันคนทา จี้ จี้หนาม สีเตาะ หนามจี้

รูปลักษณะ

ไม้พุ่มแกมเถา กิ่งก้านมีหนาม ยอดอ่อนมีสีแดง ใบประกอบ แบบขนนกเรียงสลับ มีครีบที่ก้านและแกนใบ ใบย่อยรูปวงรีหรือรูปไข่ กว้าง 1-1.5 ซม. ยาว 2-2.5 ซม. ขอบใบหยัก ดอกช่อ ออกเป็นกระจุกที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง กลีบดอกด้านนอกสีแดงแกมม่วง ด้านในสีนวล ผล เป็นผลสด ค่อนข้างกลม ใบ ผล และราก มีรสขม

สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา

ราก - ใช้เป็นยาแก้ไข้ทุกชนิด

กาหลง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bauhinia acuminata L.

ชื่อวงศ์ : Leguminosae-Caesalpinioideae

ชื่อสามัญ : Snowy orchid tree

ชื่อพื้นเมือง : เสี้ยวน้อย ส้มเสี้ยว โยธิกา กาแจ๊ะกูโด

ชนิดพืช [Plant Type] : ไม้พุ่ม

ขนาด [Size] : สูง 1-3 เมตร

สีดอก [Flower Color] : สีขาว

ฤดูที่ดอกบาน [Bloom Time] : ตลอดปี เม.ย.-พ.ค.

อัตราการเจริญเติบโต [Growth Rate] : ปานกลาง

ลักษณะนิสัย [Habitat] : ดินร่วน ระบายน้ำได้ดี

ความชื้น [Moisture] : ปานกลาง

แสง [Light] : แดดเต็มวัน

ลักษณะทั่วไป (Characteristic) : ไม้พุ่มขนาดกลาง กิ่งอ่อนมีขนทั่วไป กิ่งแก่ผิวค่อนข้างเกลี้ยงไม่ค่อยมีขน
ใบ (Foliage) : ใบเดี่ยว เรียงสลับ ใบรูปไข่เกือบกลม กว้าง 9-13 เซนติเมตร ยาว 10-14 เซนติเมตร ปลายใบ เว้าลงสู่เส้นกลางใบลึกเกือบครึ่งแผ่น ทำให้ปลายแฉกสองข้างแหลม โคนใบรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ มีรยางค์เล็กๆ ระหว่างหูใบ แผ่นใบสีเขียวอ่อน เส้นใบสีเขียวสด
ดอก (Flower) : สีขาว มีกลิ่นหอมอ่อน ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะสั้นๆ ออกตรงข้ามกับใบที่อยู่ตอนปลายกิ่ง ช่อละ 3-10 ดอก โคนก้านดอกมีใบประดับขนาดเล็ก 2-3 ใบ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ ติดกันคล้ายกาบ ปลายเรียว
แหลม กลีบดอก 5 กลีบ รูปรีหรือรูปไข่กลับ มีขนาดไม่เท่ากัน ดอกบานเต็มที่กว้าง 5-8 เซนติเมตร
ผล (Fruit) : ผลแห้ง เป็นฝักแบน คล้ายรูปขอบขนาน กว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 9-15 เซนติเมตร ปลายและ โคนฝักสอบ แหลม ปลายฝักมีติ่งแหลม เมล็ดขนาดเล็ก รูปขอบขนาน

การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used) : นิยมปลูกกลางแจ้งเป็นต้นเดี่ยวๆ หรือปลูกเป็นกลุ่ม มีดอกสีขาว
เกือบตลอดปี มีกลิ่นหอมอ่อน ปลูกเลี้ยงง่าย ควรปลูกไม้พุ่มเตี้ยด้านหน้าเพื่อบังโคนต้นที่เปิดโล่ง

ประโยชน์ : ดอกมีสรรพคุณ แก้ปวดศีรษะ ลดความดันโลหิต แก้เสมหะพิการ แก้เลือดออกตามไรฟัน

วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553

เข็มเหลือง

ชื่ออื่น ๆ : เข็มแสด , พุ่มสุวรรณ , เข็มเหลือง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ascocentrum Minatum ( Lindl.)

วงศ์ : RUBIACEAE

ลักษณะทั่วไป

ต้น : เป็นพรรณไม้พุ่มแต่เล็กกว่าเข็มขาว

ใบ : ใบนั้นจะเป็นรูปไข่ ริมขอบใบจะเรียบ ส่วนตรงปลายใบมน

ดอก : ดอกนั้นจะอยู่รวมกันเป็นช่อมีสีเหลือง แต่ไม่มีกลิ่นหอม

การขยายพันธุ์ : โดยการตอนกิ่ง หรือทางกิ่ง

ส่วนที่ใช้ : ราก ใช้เป็นยา

สรรพคุณ : ราก ใช้ปรุงเป็นยารักษาฝีกาฬจักหัวใจ

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

เข็มป่า

ชื่ออื่น ๆ : เข็มตาไก่ (เชียงใหม่), เข็มโพดสะมา (ตานี), เข็มดอย (พายัพ) ,เข็มป่า (ไทย)

ชื่อสามัญ : -

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ixora Cibdela Craib

วงศ์ : RUBIACEAE

ลักษณะทั่วไป

ต้น : เป็นพรรณไม้ขนาดกลาง ลำต้นนั้นใหญ่ประมาณเท่าข้อมือ ลำต้นมีความสูงประมาณ 3-4 เมตร

ใบ : ใบนั้นจะมีสีเขียวสด เป็นรูปไข่ยาวๆ ริมขอบใบเรียบ ใบนั้นจะยาวประมาณ 6-18 ซม. และ กว้างประมาณ 2.5 ซม.

ดอก : ดอกเข็มจะออกตลอดปี และออกดอกเล็ก ๆ เป็นพวงเหมือนดอกเข็มธรรดา แต่จะมีดอกเป็น สีขาว

ผล : ผลนั้นจะมีลักษณะเป็นผลกลม ๆ และมีสีเขียว

การขยายพันธุ์ : โดยการใช้เมล็ด และตอนกิ่ง

ส่วนที่ใช้ : ดอก ใบ ผล เปลือก และราก ใช้ทำเป็นยา

สรรพคุณ : ดอก ใช้รักษาโรคตาเปียก ตากแดง ตาแฉะ

ใบ ใช้เป็นยาฆ่าพยาธิทั้งปวง

ผล ใช้เป็นยารักษาโรคริดสีดวงจมูก

เปลือก ใช้ตำแล้วคั้นเอาน้ำหยอดหูใช้ฆ่าแมงคาเรืองเข้าหู

ราก ใช้ทำเป็นยารักษาเสมหะในท้อง หรือในทรวงอก

อื่น ๆ : มักเป็นพรรณไม้ชอบขึ้นตามธรรมชาติในป่าทั่วๆ ไปในประเทศไทย มักจะ นำมาปลูกกันตาม วัดวาอารามแล้วตัวแต่งให้เป็นพุ่มให้สวยงาม

ถิ่นที่อยู่ : มักจะเป็นเข็มพันธุ์ญี่ปุ่นทั้งสิ้นไม่ใช่ของไทย


เข็มแดง

ชื่ออื่นๆ : เงาะ (สุราษฎร์),เข็มแดง (ยะลา) , ตุโดปุโยบูเก๊ะ (มลายู), จะปูโย (มะละยู-นรา)

ชื่อสามัญ : -

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ixora Lobbii Loud.

วงศ์ : RUBIACEAE

ลักษณะทั่วไป

ต้น : เป็นพรรณไม้พุ่มขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ลัษณะต้นนั้นจะคล้ายเข็มขาว

ใบ : ใบนั้นจะหนายาวและแข็งมีสีเขียวสด ตรงปลายใบของมันจะแหลม

ดอก : ดอกนั้นจะออกรวมกันเป็นช่อใหญ่แบนมีสีแดงเข้ม ดอกนั้นจะโตกว่าเข็มขาวมาก แต่ไม่มีกลิ่นหอม

การขยายพันธุ์ : โดยการตอนกิ่ง ทาบกิ่ง หรือปักชำ

ส่วนที่ใช้ : ราก ใช้เป็นยา

สรรพคุณ : ราก ใช้ปรุงเป็นยาบำรุงไฟธาตุ บรรเทาอาการบวม รักษาตาพิการ รักษากำเดา
รักษาเสมหะ

อื่น ๆ : เป็นพรรณไม้ที่นิยมปลูกกันตามชนบท และชอบขึ้นเองตามป่าราบ หรือป่าเบญจพันธุ์ พรรณไม้นี้ถ้าอยู่นานหลายปีอาจจะโตเท่าต้นมะม่วงได้

ถิ่นที่อยู่ : พรรณไม้นี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่จังหวัดสระบุรี และจะมีขึ้นประปรายตามจังหวัดต่างๆ


จากเว็บ http://health.spiceday.com/viewthread.php?tid=52952

เข็มขาว

ชื่ออื่น ๆ : เข็มไม้ (ไทย),เข็มพระราม (กรุงเทพ),เข็มปลายสาน(ตานี),เข็มขาว(พายัพ)

ชื่อสามัญ : -

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ixora ebarbata Craib.

วงศ์ : -

ลักษณะทั่วไป

ต้น : เป็นพรรณไม้พุ่มขนาดเล็กถึงขนาดกลาง

ใบ : มีลักษณะเป็นรูปไข่ ริมขอบใบจะเรียบตรงปลายใบของมันจะมน

ก้านดอก : ก้านดอกนั้นจะยาวส่วนปลายก้านดอกจะเป็นกลีบเล็กๆ อยู่เพียง 4 กลีบ

อก : ดอกนั้นจะออกรวมกันอยู่เป็นช่อ มีสีขาว มีกลิ่นหอมเย็น

ราก : รากนั้นจะมีรสหวาน

การขยายพันธุ์ : โดยการตอนกิ่ง ทาบกิ่ง ปักชำ

ส่วนที่ใช้ : ราก ใช้เป็นยา

สรรพคุณ : ราก ใช้ปรุงเป็นยากิน รักษาโรคตา เจริญอาหาร




จากเว็บ http://health.spiceday.com/viewthread.php?tid=52950


วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ทองพันชั่ง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rhinacanthus nasutus (L.) Kurz

ชื่อสามัญ : White crane flower

วงศ์ : ACANTHACEAE

ชื่ออื่น : ทองคันชั่ง หญ้ามันไก่

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 1-2 เมตร กิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม ใบ เดี่ยว ดอกช่อ ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีขาว โคนติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 2 ปาก ปากล่างมีประสีม่วงแดง ผล แก้ง แตกได้

ส่วนที่ใช้ : ใบสด รากสด หรือตากแห้งเก็บเอาไว้ใช้

สรรพคุณ : ใช้รักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน ผื่นคันเรื้อรัง

วิธีและปริมาณที่ใช้

ใช้ใบสด หรือราก ตำแช่เหล้า หรือแอลกอฮอล์ ทาบ่อย

ใช้ใบสด ตำให้ละเอียด ผสมน้ำมันก๊าด ทาบริเวณที่เป็นกลาก วันละ 1 ครั้ง เพียง 3 วัน โรคกลากหายขาด

ใช้รากทองพันชั่ง 6-7 รากและหัวไม้ขีดไฟครึ่งกล่อง นำมาตำเข้ากันให้ละเอียด ผสมน้ำมันใส่ผมหรือวาสลิน (กันไม่ให้ยาแห้ง) ทาบริเวณที่เป็นกลาก หรือโรคผิวหนังบ่อยๆ

ใช้รากของทองพันชั่ง บดละเอียดผสมน้ำมะขามและน้ำมะนาว ชโลมทาบริเวณที่เป็น




วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

ดอกเทียน

ชื่ออื่น เทียนดอก เทียนไทย เทียนสวน


ชื่อวิทยาศาสตร์ Impatiens balsamina L.


ลักษณะทั่วไป เป็นไม่พุ่มสูง 25-75 เซนติเมตร มีอายุสั้น ลำต้นตั้งตรง อวบน้ำ สีเขียวอ่อนหรือเขียวอมเหลือง


ใบ มีใบรูปใบหอกหรือรูปรีแคบ ปลายเรียวแหลม โคนใบรูปลิ่ม ขอบจักฟันเลื่อย


ดอก ดอกเดี่ยวหรือเป็นกลุ่ม ออกตามซอกใบ ขนาด 3-6 เซนติเมตร มีทั้งดอกชั้นเดียว และดอกซ้อน กลีบดอกมี 5 กลีบขึ้นไป โคนกลีบล่างมีเดือยยื่นออกมาเป็นหลอดเล็กยาว ปลายโค้งขึ้น ดอกมีหลายสี


ผลและเมล็ด ฝักเป็นรูปกะสวย ปลายแหลมแตกตามยาว เมล็ดสีน้ำตาลดำ

ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ

ประเภทของดอกไม้ เป็นดอกเดี่ยว มีลักษณะคล้ายดอกกุหลาบ


ประเภทของต้นไม้ เป็นไม้อายุสั้น ลำต้นสีเขียวอมเหลือง


แหล่งที่พบ พบได้ในพื้นที่ที่ชุ่มชื้น ชอบน้ำ


การบานของดอก บานทีละดอก เริ่มบานจากที่โคนลำต้นถึงปลายยอด


ตำแหน่งการเกิดของดอก เกิดที่ซอกใบ


กลีบดอก มีหลายสี อาทิ สีแดง สีม่วง สีชมพู สีส้ม จำนวน 9 -12 กลีบ


ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 เซนติเมตร


จำนวนกลีบเลี้ยง มี 2 กลีบ ปลายกลีบมีสีเขียว และช่วงโคนดอกมีสีเขียวกับสีขาว


เกสรตัวผู้ มี 1 อัน ขนาดกว้าง 2 มม. ยาว 5 มม. เป็นแท่งใหญ่ กลมและเป็นกลุ่มๆ ข้างบนสุดสีชมพู เป็นผง


เกสรตัวเมีย มี 1 อัน สีเขียวขนาด 1 มม. ปลายแหลมซ่อนอยู่ใหนเกสรตัวผู้


กลิ่นของดอก ไม่มีกลิ่น




กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

พริกกะเหรี่ยง

พริกกะเหรี่ยง มีการปลูกกันมากตามแนวชายแดนไทย-พม่าของ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งปลูกในเขตพื้นที่ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร มีการคมนาคมลำบากมากในช่วงของฤดูฝน ตรงกับ การปลูกพริกของชาวกะเหรี่ยง และเมื่อผลผลิตพริกสามารถเก็บเกี่ยว ได้ก็ไม่สามารถนำออกมาจำหน่ายได้ ต้องแปรรูปเป็นพริกแห้ง

ลักษณะเด่นพริกกะเหรี่ยง
1. มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม ทนทานต่อสภาวะอากาศและโรคแมลง
2. ลำต้นใหญ่ การแตกแขนงดี สามารถให้ผลผลิตติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
3. เป็นที่นิยมทำเป็นพริกตากแห้งได้ดี คุณภาพผลสด 3 กิโลกรัม ตากแห้งได้ 1 -1.3 กิโลกรัม
4. มีความเผ็ดและหอมซึ่งเป็นลักษณะประจำพันธุ์ของพริกกะเหรี่ยง
5. โรงงานทำซอสพริกนิยมนำไปปั่นผสมกับพริกหนุ่มเขียวเพื่อเพิ่มความเผ็ดและความหอม

การเตรียมเมล็ดและต้นกล้าก่อนปลูก
1. เลือกต้นที่มีลำต้นสมบูรณ์แข็งแรง ทนทานต่อโรคและแมลง สามารถปรับตัวเข้ากับ สภาพแวดล้อม ในท้องถิ่นได้ดี ให้ผลผลิตดก ขนาดใหญ่เต็มที่และเก็บผลในรุ่นที่ 2-3
2. ผลพริกที่เลือกเก็บนั้น ควรเป็นผลที่เริ่มสุกหรือสุกสีแดงสดปราศจากโรคแมลงทำลาย นำเมล็ดพันธุ์แช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน หรือนำมาห่อ ในผ้าขาวบางซับ ๆ เก็บไว้ประมาณ 2-3 วัน จนมีตุ่มรากสีขาวเล็ก ๆ แล้วนำไปเพาะ

การเตรียมแปลงเพาะกล้า
การเลือกพื้นที่สำหรับเพาะเมล็ดพันธุ์ต้องทำการเตรียมดินให้ละเอียดพร้อมผสมปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก ในอัตรา 2:1 แล้วคลุกเคล้า ให้เข้ากัน แล้วนำเมล็ดพริกโรยเป็นแถวห่างกันประมาณ 3 นิ้ว กลบหน้าดิน ประมาณ 1 ซม. หลังเพาะนาน 7-10 วัน เริ่มงอกหมั่น รดน้ำ ให้ชุ่มอยู่เสมออย่าปล่อยให้แปลงแห้งจนกระทั่งต้นกล้าเจริญเติบโตมีใบประมาณ 3-4 คู่ หรือต้นกล้ามีอายุประมาณ 30 วัน สามารถนำไปปลูกในแปลงปลูก

การปลูกและการดูแลรักษา
1. การปลูกพริกกะเหรี่ยงโดยนำเมล็ดพริกที่เก็บเมล็ดจากต้นแล้วนำมาตากแดดจนแห้งสนิทแล้วนำไปตำในครก หรือกระบอก ไม้ไผ่ ให้เมล็ดแตกออก นำเมล็ดมาหยอดลงหลุมที่เตรียมไว้ หลุมละประมาณ 5-10 เมล็ด ระยะปลูก 80X80 เซนติเมตร และหากปลูก แซมข้าวไร่ ระยะปลูกจะห่างตามความต้องการและสภาพพื้นที่เป็นหลัก
2. การปลูกด้วยต้นกล้า ควรมีการรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมัก อัตรา 800-1,000 กิโลกรัมต่อไร่ หรือใช้เชื้อราไตรโคเดอร์ม่า จำนวนต้นกล้า ประมาณ 2,500-3,000 ต้นต่อไร่ ระยะปลูก 80X80 เซนติเมตร ซึ่งสามารถปลูกเป็นพืชแซม กับข้าวไร่ หรือพืชชนิดอื่นๆ
3. การปลูกพริกกะเหรี่ยงเพื่อเพิ่มมูลค่าของพริกสด สามารถทำได้โดยเกษตรกรต้องมีพื้นที่สามารถให้น้ำได้ และเป็นพื้นที่ดอนน้ำ ไม่ท่วมขัง เกษตรกรเริ่มเพาะกล้าพริกตั้งแต่เดือน กันยายน-ตุลาคม หลังปลูกแล้ว 90 วันก็จะเริ่มเก็บผลผลิต ซึ่งจะเป็นช่วงฤดูแล้ง พริกสดจะเริ่มราคาแพงเนื่องจากชาวกระเหรี่ยงที่ปลูกพริกในป่า ไม่สามารถให้น้ำพริกได้ และผลผลิตก็จะหมดเร็ว ทำให้พริกสด ขาดแคลน เกษตรกรที่ปลูกพริกกะเหรี่ยงฝืนฤดู สามารถขายพริกสดได้ถึงราคา 50-80 บาท/กิโลกรัม และสามารถเก็บเกี่ยวตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป

การให้น้ำและปุ๋ย
การให้น้ำอาศัยน้ำฝนธรรมชาติ และช่วงที่เหมาะสมในการปลูกเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน การกำจัดวัชพืชไม่ใช้สารเคมี และไม่นิยมใส่ปุ๋ยเคมีเนื่องจากจะทำให้พริกกะเหรี่ยงที่มีความหอมที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวลดลง

ศัตรูพืชที่สำคัญและวิธีการป้องกันกำจัด
1. โรค โรครากเน่าโคนเน่า และโรคกุ้งแห้ง ป้องกันโดยคัดเมล็ดพันธุ์ที่ปราศจากโรค ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์ม่า รองก้นหลุมก่อนปลูก
2. แมลง เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง ทำให้พริกใบหงิกงอ ลักษณะใบม้วนผิดปกติ ระบาดในช่วงแห้งแล้ง ป้องกันกำจัด โดยใช้น้ำหมัก สมุนไพร ฉีดพ่นทุก 5-7 วัน หรือเชื้อราบิวเบอร์รี่

การเก็บผลผลิต
หลังย้ายปลูกประมาณ 60 วัน พริกกะเหรี่ยงเริ่มทยอยผลผลิตและสามารถเก็บผลผลิตได้โดยเลือกเก็บเมล็ดที่มีสีแดงสดเพื่อใช้ ในการแปรรูป ผลผลิตพริกสดประมาณ 400-500 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งสามารถนำมาทำเป็นพริกแห้งได้ประมาณ 80-100 กิโลกรัมๆ ละประมาณ 80-150 บาท รายได้เฉลี่ยประมาณ 10,000-15,000 บาทต่อไร่

การจำหน่ายพริกกะเหรี่ยง
1. จำหน่ายพริกสดราคาขายขึ้นอยู่กับคุณภาพและปริมาณของพริก
2. จำหน่ายเป็นพริกแห้ง ซึ่งจะได้ราคาที่สูง กว่าพริกชนิดอื่น
3. ตลาดแปรรูปในอุตสาหกรรมการแปรรูป พริกป่น พริกคั่ว พริกดอง ซอสพริก หรือน้ำจิ้ม น้ำพริก น้ำพริกแกง อาหารสำเร็จรูป หรือกึ่งสำเร็จรูป พริกแช่แข็ง





กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553

ดอกผีเสื้อแสนสวย

ผีเสื้อแสนสวย

ไม้้ พุ่มปานกลางโปร่ง ดอกไม่มีกลิ่นหอม ออกดอกตลอดปี ใบไม่ผลัดใบ ดิน ร่วนเหนียว

ความชื้น ปานกลาง แสง แดดเต็มวัน เติบโต ปานกลางค่อนเร็ว อายุ 5 ปีขึ้นไป

ขยายพันธุ์ ด้วยการตอน ปักชำกิ่ง เพาะเมล็ด

ต้นผีเสื้อแสนสวยเป็นชื่อไทย ชื่อฝรั่งเรียกว่า " Blre Butterfly" กำเนิดของต้นไม้ต้นนี้ไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่ไม่น่าจะใช่ไม้ไทย เพราะไม่เคยเป็นที่ไหนมาก่อน มีการปลูกน้อยมาก เป็นไม้หายาก แต่คุ้มค่าที่จะหาและปลูกไว้ประดับบ้าน

ผีเสื้อแสนสวยเป็นไม้พุ่มโปร่ง เมื่อดอกบานออกมาเหมือนผีเสื้อราวกับแกะ ซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์ มีทั้งปีกบนสองปีก ปีกล่างลำตัว แถมยังมีหนวดเป็นเกสรตัวผู้ที่ยาวย่างอ่อนช้อยเสียด้วย

ความที่ดอกผีเสื้อแสนสวยนี้เหมือนผีเสื้ออย่างมาก ทำให้เด็กๆ ตัวเล็กๆ เข้าใจว่าเป็นผีเสื้อจริงๆ บางคนก็นั่งดูไม่กล้าแตะ บางคนก็ถามว่ามันกัดมั้ย บางคนก็ถามว่าทำไมมันไม่ยอมบินกันเลย บางคนถามว่าจับได้มั้ย ผู้เขียนเลยต้องอธิบายให้ฟังว่า แท้ที่จริงมันคือดอกไม้ ไม่ใช่ผีเสื้ออย่างใด จากนั้นก็เก็บดอกผีเสื้อแสนสวยให้เด็กๆ คนละดอก โดยเอาดอกวางไว้บนใบไม้อีกทีหนึ่ง ซึ่งยิ่งดูเหมือนผีเสื้อตัวจริงใหญ่เลย

อันว่าต้นดอกผีเสื้อแสนสวยนั้นเป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 1- 1.5 เมตร พุ่มโปร่ง ลำต้นที่แก่แล้วมีสีน้ำตาลเข้มไปสู้น้ำตาลอ่อน ลำต้นอ่อนออกเป็นสีเขียว ส่วนใบเขียวตลอดทั้งใบ ผิวสัมผัสหยาบ รูปทรงพุ่มกลม ขนาดพุ่มเป็นกอใหญ่สัก 1 เมตร ดอกผีเสื้อออกเป็นสีฟ้ากับสีฟ้าอ่อนจนแทบขาว มีดอกตลอดทั้งปี ชอบดินร่วนเหนียว ความชื้นปานกลาง แสงแดดเต็มวัน โรคแมลงไม่มี

อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง ค่อนข้างรวดเร็วถ้าได้ดินได้น้ำได้แดดอย่างเหมาะสม การปลูกควรปลูกเป็นกอ 6 ต้นต่อตารางเมตร หรือ 3 ต้นต่อตารางเมตร หรือปลูกเป็นลำต้นเดี่ยวๆ เรียงกันเป็นแถวยาวก็ได้

ลักษณะดอกและใบเหมาะกับบรรยากาศสวนป่ามาก หรือเป็นส่วนหย่อมก็ได้ โคนต้นเมื่อสูงได้ที่แล้วจะโล่งโปร่งจึงควรปลูกไม้คลุมดินอยู่ด้านล่างหรือเหนือโคนต้น

รูปทรงของดอกเหมือนผีเสื้อ ดอกสวยงามแปลกตาอย่างยิ่งสมกับชื่อว่าผีเสื้อแสนสวย จึงควรปลูกใกล้ตาผู้ชม เพราะดอกเล็กเท่าๆ กับผีเสื้อตัวเล็กๆ ดังนั้นควรปลูกตามทางเดิน หรือใกล้อาคารใกล้ศาลา ปลูกในที่กว้างพอสมควร เพื่อจะได้ไม่ต้องจำกัดความสูงของลำต้น ให้เติบโตได้อย่างอิสระ

ผีเสื้อแสนสวยดอกนี้ คนมักเข้าใจผิดเป็นดอกผีเสื้อ ซึ่งเป็นคนละดอก คนละเรื่อง คนละพันธุ์ที่เดียว ฉะนั้นถ้าจะหาดอกน้ำควรนำภาพดอกไปให้ผู้ขายดอกไม้ดู จึงจะสามารถสื่อได้ตรงกัน




จากเว็บ http://flower2009.ueuo.com/flower15.htm

กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...