แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ขึ้นต้นด้วย อ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ขึ้นต้นด้วย อ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552

แอสเตอร์

ชื่ออื่น ๆ : ฮังนังเก๊ก (จีน)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Callisterphus chinensis (Linn.) Nees.

วงศ์ : COMPOSITAE

ลักษณะทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก ที่มีอายุเพียงปีเดียว จะแตกกิ่งก้านสาขามากมาย ลำต้นสูงประมาณ 8-24 นิ้ว

ใบ : เป็นไม้ใบเดี่ยว ลักษณะเป็นรูปไข่ ปลายแหลม โคนใบสอบแคบติดกับก้านใบเลย ขอบใบจัก หรือบางทีมองดูก็คล้ายกับรูปช้อน ขนาดของใบกว้างประมาณ 1-1.5 นิ้วยาว 1.5-2.5 นิ้วมีสีเขียว ที่ก้านใบจะมีปีกแคบ ๆ ติดอยู่

ดอก : ออกเป็นเป็นดอกเดี่ยว อยู่ตรงส่วนยอดของต้น ดอกมีสีม่วง สีชมพู สีขาว ลักษณะของดอกจะเป็นวงกลม
กลีบดอกจะเรียงซ้อนกัน วงในกลีบจะเล็กกว่ากลีบด้านนอก ดอกบานเต็มที่ประมาณ 1.5-3 นิ้ว

ผล : เป็นรูปไข่กลับ แห้ง มีระยางค์ 2 แถว

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ขึ้นได้ดีและสวยงาม ในดินที่ร่วนซุย และมีความชื้นปานกลาง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

ส่วนที่ใช้ : ราก

สรรพคุณ : ราก นำมาต้มน้ำแล้วใส่หมู ต้มซุปกินเป็นยาบำรุง หรือแก้อาการอ่อนเพลีย

ถิ่นที่อยู่ : เป็นพืชพื้นเมืองของญี่ปุ่น และจีน



กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

อุตพิต

อุตพิต

ชื่ออื่น ๆ : มะโหรา (จันทบุรี) , บอนแก้ว (เชียงใหม่)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Typhonium trilobatum Schott.

วงศ์ : ARACEAE

ลักษณะทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก มีหัวอยู่ใต้ดิน หัวจะเล็กเป็นรูปเกือบจะกลม วัดผ่าศูนย์กลางได้ประมาณ 1.2 ซม.

ใบ : จะมีลักษณะเป็นแฉกกลางรูปไข่ปลายแหลม ใบเป็นสีเขียวมีลาย หรือจุดประสีม่วง ก้านใบมีความยาวประมาณ
37.5 ซม. ใบจะเป็นหยัก 3 แฉก มีความกว้างและยาวประมาณ 25-30 ซม.

ดอก : จะออกเป็นช่อ เป็นแท่งยาว ช่อดอกมีกาบหุ้มยาวประมาณ 23 ซม. กาบจะกว้างประมาณ 7.5 ซม. ก้านช่อดอกจะเป็นสีเลือดนกปนน้ำตาล หรือสีแดงเข้ม ดอกเพศเมียจะอยู่ตรงโคนแท่ง เหนืออกเพศเมียจะเป็นดอกฝ่อ เป็นสีขาวถัดไปเป็นที่ว่าง เหนือที่ว่างนั้นจะเป็นดอกเพศผู้
เป็นสีชมพู เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีกลิ่นเหม็น

ผล : ผลสดจะมีลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ภายในจะมีเมล็ดอยู่

การขยายพันธุ์ : โดยการแยกหน่อ

ส่วนที่ใช้ : หัว กาบ ก้านใบ และราก ใช้เป็นยา

สรรพคุณ : หัว ใช้เป็นยากัดเถาดานในท้อง กัดฝ้าหนองสมานแผลหรือใช้หุงเป็นน้ำมันใส่แผล และใช้ปิ้งไฟใช้กินได้

กาบ นำไปหั่นให้ละเอียด ใช้ดองกินเป็นอาหารผักได้

ก้านใบ ลอกเปลือกออกใช้แกงส้มแบบเดียวกับแกงบอนได้

ราก จะมีฤทธิ์เป็นยากระตุ้น รักษาโรคริดสีดวงทวาร ใช้กินกับกล้วยรักษาโรคปวดท้อง หรือใช้ทาภายนอกและกินรักษาพิษงูกัดได้

ถิ่นที่อยู่ : พรรณไม้นี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อน ของทวีปเอเชีย มักพบขึ้นทั่ว ๆ ไป ตามที่ร่มเย็น




กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

อังกาบหนู

ชื่ออื่น ๆ : อังกาบหนู, เขี้ยวเนื้อ, เขี้ยวแก้ง (ภาคกลาง), อังกาบ (นครศรีธรรมราช), มันไก่ (ภาคเหนือ)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Barleria prionitis Linn.

วงศ์ : ACANTHACEAE

ลักษณะ ทั่วไป : ต้น : อังกาบหนูเป็นสมุนไพรไม้พุ่ม ที่มีกิ่งก้านแตกออกไปรอบ ๆ ต้น ตามข้อต้นหรือที่โคนต้นจะมีหนามแหลมยาวประมาณครึ่งเซนต์ อยู่ซึ่งมีสีเขียว ลำต้นสูงประมาณ 1 เมตร

ใบ : เป็นไม้ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ ไปตามข้อต้น ลักษณะของบเป็นรูปรี ปลายใบและโคนใบจะแหลม แต่ตรงกลางใบจะกว้าง ขอบใบเรียบไม่มีจัก มีสีเขียว ขนาดของใบกว้างประมาณ 0.5-1 นิ้วยาว 1.5-2 นิ้วมีก้านใบสั้นจะยาวรอบ ๆ ครึ่งเซนต์ได้

ดอก : เป็นไม้ดอกเดี่ยว และจะออกอยู่ตามข้อต้นลักษณะของดอกแยกออกเป็น 5 กลีบเท่า ๆ กัน มีสีเหลือง เกสรกลางดอกมี 4 อัน ใบประดับที่รองรับดอกอยู่จะเป็นหนามแหลม 1 คู่ กลีบรองกลีบดอกสีเขียว 5 กลีบยาว 0.5 นิ้วเช่นกัน

ผล : เป็นฝักมนรี โคนกว้างปลายจะแหลม โตประมาณ 0.8 ซม. ยาว 1.8-2 ซม.

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ที่เจริญงอกงามได้ดีในดินทุกชนิดโดยเฉพาะดินที่ร่วนซุย และมีความชื้นปานกลาง ขยายพันธ์ด้วยเมล็ด และตอน

ส่วนที่ใช้ : ใบ และราก ของอังกาบหนู

สรรพคุณ : ใบ ใช้แก้งูกัด เคี้ยวแก้ปวดฟัน หรือนำใบมาคั้นกิน แก้เป็นหวัด ช่วยลดไข้ แก้อัมพาต โรคปวดตามข้อ โรคคัน บวมใช้ทาแก้ปวดหลัง หรือผสมกับน้ำมะนาวแก้ขี้กลาก แก้ท้องผูก หรือใช้ผสมกับน้ำผึ้งรักษาเลือดออกตามไรฟัน ใช้หยอดหู แก้โรครูมาติซั่ม
ราก เป็นยาลดไข้ เมื่อเอารากมาผสมกับน้ำมะนาวแก้ขี้กลากแก้อาหารไม่ย่อย



กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

อังกาบ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Barleria cristata L.

ชื่อวงศ์ : Acanthaceae

ชื่อสามัญ : Philippine violet

ชื่อพื้นเมือง : ก้านชั่ง คันชั่ง อังกาบเมือง ลืมเฒ่าใหญ่ ทองระอา อังกาบกานพลู

ชนิดพืช [Plant Type] : ไม้ดอกล้มลุก

ขนาด [Size] : สูง 1-1.5 เมตร

สีดอก [Flower Color] : สีขาว ม่วง หรือม่วงแถบขาว

ฤดูที่ดอกบาน [Bloom Time] : ก.ย.-ต.ค.

อัตราการเจริญเติบโต [Growth Rate] : ปานกลาง

ลักษณะนิสัย [Habitat] : ดินร่วน ระบายน้ำได้ดี

ความชื้น [Moisture] : ปานกลาง

แสง [Light] : ปานกลาง-รำไร

ลักษณะทั่วไป (Characteristic) : ไม้ดอกล้มลุก ลำต้นและกิ่งก้านมีขน

ใบ (Foliage) : ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบรูปรีถึงรูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง 1-4 เซนติเมตร ยาว 3-12 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบสีเขียวเข้ม

ดอก (Flower) : สีขาว ม่วง หรือม่วงแถบขาว ออกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อแบบข่อเชิงลดตามซอกใบ ใกล้ปลายกิ่ง ช่อละ 2-3 ดอก กลีบเลี้ยงสีเขียวสั้น ใบประดับสีขาวปนเขียว รูปเรียวยาวปลายเเหลม ขอบเป็นหนาม โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกอยู่ชิดกันด้านบน 4 แฉก รูปไข่ อยู่ด้านล่าง 1 แฉก รูปเกือบกลม ดอกบานเต็มที่กว้างประมาณ 3 เซนติเมตร

ผล (Fruit) : ผลแห้งแตก รูปรียาว

การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used) : ดอกสวย ปลูกเป็นกลุ่มประดับสวนหย่อม ทำเป็นรั้ว ริมทางเดิน ริมน้ำตก ลำธาร ริมทะเล ไม่ทนน้ำท่วมขัง

ประโยชน์ : รากมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะและฟอกโลหิต




กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

อ้อยช้าง

ชื่อสามัญ : Wodier (ฮือการค้า)

ชื่อพื้นเมือง : อ้อยช้าง กุ๊ก (เหนือ); หวีด (เชียงใหม่); กอกกั๋น (อุบลราชธานี) ;ช้งเกาะ ช้างโน้ม (ตราด) ตะคร้ำ (ราชบุรี, กาญจนบุรี) ; มีเชียง, เส่โทกี (กะเหรี่ยง - แม่ฮ่องสอน) ; แม่หยู่ว้าย (กะเหรี่ยง - กาญจนบุรี); เส่งลู้ได้ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lannea coromandelica (Houtt.) Merr.

ชื่อวงศ์ : ANACARDIACEAE

ลักษณะ

ต้น : เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ถึงขนาดกลางลำต้นเปลาตรง เรือนยอดเป็นพุ่มโปร่งๆ เปลือกสีเทาอมเขียวหรือขาวปนเทา เรียบ หรือแตกเป็นแผ่นๆ ห้อยย้อยลง
ใบ : เป็นช่อเรียงสลับเวียนกันช่อหนึ่งมีใบย่อย 2-7 คู่ รูปไข่แกมรูปหอก โคนเบี้ยวปลาย เป็นติ่งยาวทู่ๆ เนื้อค่อนข้างหนา หลังใบเกลี้ยง ท้องใบมีขนประปรายขอบเรียบ
ดอก : สีเหลืองอ่อน กลีบหอม ออกเป็นช่อตามง่ามใบตอนปลายกิ่ง กลีบดอกส่วนมากจะมีอยู่อย่างละ 4 กลีบดอกเพศผู้โตกว่าเพเมียเล็กน้อย
ผล : มีขนาดและลักษณะคล้ายถั่ว
เมล็ด : แข็งมาก

การกระจายพันธุ์

พบทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือ จากระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 20 - 700 เมตร

การขยายพันธุ์

ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด

ประโยชน์

ข้อมูลจากเอกสาร : ไม้ ใช้ทำกระดานพื้น ฝา รอด เครื่องเรือน เปลือกเป็นยาใส่แผล แก้ปวดท้อง ทำเชือกและทุบทำเป็นผืนสำหรับปูบนหลังช้างให้สีน้ำตาลใช้ย้อมผ้า หนัง ฯลฯ และให้น้ำฝาดชนิด Pyrogallol และ Catechol แก้เสมหะเหนียว

ข้อมูลจากภูมิปัญญาไทย : แก่น มีรสฝาด ปรุงเป็นยาทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำ


กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

อ้อย

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์

อาณาจักร Plantae

ส่วน Magnoliophyta

ชั้น Liliopsida

อันดับ Poales

วงศ์ Poaceae

สกุล Saccharum
L.

อ้อย หรือ อ้อยแดง (อังกฤษ:Sugar-cane, ชื่อวิทยาศาสตร์ Saccharum officinarum Linn. GRAMINEAE ) ชื่ออื่นคือ อ้อยขม หรืออ้อยดำ เป็นไม้ล้มลุก สูง 2-5 เมตร ลำต้นสีม่วงแดง มีไขสีขาวปกคลุม ไม่แตกกิ่งก้าน ใบเดี่ยว เรียงสลับ กว้าง 2.5-5 ซม. ยาว 0.5-1 เมตร ดอกช่อ ออกที่ปลายยอด สีขาว ผลเป็นผลแห้ง ขนาดเล็ก

สายพันธุ์

อ้อยมีหลายพันธุ์แตกต่างกันที่ความสูง ความยาวของข้อและสีของลำต้น อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่เกษตรกรนิยมปลูกกันมาก อ้อยที่นำมาคั้นน้ำสำหรับดื่ม เป็นอ้อยที่ปลูกบริเวณที่ราบลุ่ม พื้นที่ดินเหนียว ประชาชนเรียกว่า อ้อยเหลือง หรือ อ้อยสิงคโปร์ นิยมปลูกกันมากในบริเวณจังหวัดอ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี และนครปฐม เป็นต้น

พ.ศ. 2550 ศูนย์วิจัยพืชไร่สุพรรณบุรี กรมวิชาการเกษตร ดำเนินการศึกษาวิจัยและพัฒนาพันธุ์อ้อยขึ้นมาใหม่ คือ พันธุ์สุพรรณบุรี 80 ซึ่งได้จากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างพันธุ์แม่ 85-2-352 กับพันธุ์พ่อ K84-200 ใช้ระยะเวลาคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์นานกว่า 11 ปี มีลักษณะเด่น คือ ให้ผลผลิตในอ้อยปลูกน้ำหนักเฉลี่ย 17.79 ตัน/ไร่ ให้ผลผลิตน้ำตาลเฉลี่ย 2.66 ตันซีซีเอส/ไร่ นอกจากนี้ยังสามารถต้านทานโรคเหี่ยวเน่าแดงและโรคแส้ดำได้ระดับปานกลางด้วย [1]

สรรพคุณสมุนไพร

ตำรายาไทยใช้ลำต้นเป็นยาขับปัสสาวะ โดยใช้ลำต้นสด 70-90 กรัม หรือแห้ง 30-40 กรัม หั่นเป็นชิ้น ต้มน้ำ แบ่งดื่มวันละ 2 ครั้งก่อนอาหาร แก้ไตพิการ หนองในและขับนิ่ว แพทย์พื้นบ้านใช้ขับเสมหะ รายงานว่าอ้อยแดงมีฤทธิ์ขับปัสสาวะในสัตว์ทดลอง


กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

อบเชยเถา

อบเชยเถา

ชื่ออื่น ๆ : กำหยาน, กู้ดิน, เครือเขาใหม่ (เหนือ) . เชือกเถา (นครสวรรค์) ; อบเชยป่า (กรุงเทพ) . อบเชยเถา (กลาง)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Atherolepis pierrei Cost. Var. glabra Kerr.

วงศ์ : ASCLEPIADACEAE

ลักษณะ ทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้เถาขนาดเล็ก ลำต้นจะมีขนสั้น และมีน้ำยางเป็นสีขาว เลือกนั้นจะมีช่องระบายอากาศรูปไข่ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป

ใบ : จะเป็นใบเดี่ยว ออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน ลักษณะใบจะเป็นรูปขอบขนานแกมรูปไข่ก้านใบมีความยาวประมาณ
2 มม. และมีขน หูใบจะสั้นมาก ใบอ่อนจะมีขนตามเส้นกลางใบและเส้นใบ ขนนั้นจะค่อย ๆ หลุดร่วงไปเมื่อใบนั้นแก่และใบจะมีความกว้างประมาณ 8-28 มม. ยางประมาณ 2.5-6 ซม.

ดอก : จะออกเป็นช่อตามง่ามใบ ช่อหนึ่งจะมีอยู่ 3-4 ดอก กลีบดอกจะมีฐานติดกันเป็นท่อสั้น ๆ ตรงปลายจะแยกออกเป็น 5 กลีบ มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมปลายแหลม กลีบดอกจะบิดไปทางเดียวกัน ถ้าดอกนั้นบานจะกางออกแบบดอกมะเขือ จะมีขนประปรายทั้งด้านนอก และด้านใน เกสรตัวผู้มี 5 อัน ก้านเกสรจะไม่ติดกัน อับเรณูจะเป็นรูปไข่แกมสามเหลี่ยม ตรงปลายแหลม ส่วนเกสรตัวเมียจะมีอยู่ 1 อัน ตรงปลายเกสรใหญ่กว่าท่อเกสร และเป็นรูปห้าเหลี่ยมปลายแหลมสั้น

การขยายพันธุ์ : โดยการทาบเถา

ส่วนที่ใช้ : ราก ใช้เป็นยา

สรรพคุณ : ราก จะมีกลิ่นหอมคล้ายเปลือกอบเชย ใช้ปรุงเป็นยาหอมรักษาอาการหน้ามืดตาลาย อาการวิงเวียนศีรษะ และช่วยขับลมในลำไส้

ถิ่นที่อยู่ : พรรณไม้นี้ พบขึ้นทั่วไปในประเทศ ตามชายป่า


กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

องุ่น

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์

อาณาจักร
Plantae

ส่วน Magnoliophyta

ชั้น Magnoliopsida

อันดับ Vitales

วงศ์ Vitaceae

สกุล Vitis
L.

องุ่น เป็นพืชยืนต้น มีลักษณะเป็นไม้พุ่มรอเลื้อย เนื้อแข็ง มีลำต้น (Trunk) กิ่งถาวรอายุเกิน 1 ฤดู (Cordon) กิ่งในฤดู (Shoot) กิ่งอายุ 1 ฤดู (Cane) ถ้าปล่อยให้เจริญเติบโตตามธรรมชาติจะเลื้อยเกาะกิ่งไม้ ใบกลม ขอบหยักเว้าลึก 5 พู โคนใบเว้าหัวใจ ดอกออกเป็นช่อแยกแขนง ดอกย่อยขนาดเล็กสีเขียว มีหมวก (Cap) จะหลุดออกเมื่อดอกบานกลีบดอกเมื่อบานสีขาว โคนเชื่อมติดกัน ปลายแยก 5 กลีบ เป็นผลเดี่ยวที่ออกเป็นพวง (เป็นผลเดี่ยวที่เกิดจากดอกช่อแต่ดอกไม่หลอมรวมกัน) ผลย่อยรูปกลมรี ฉ่ำน้ำ ผิวมีนวลเกาะ รสหวาน มีสีเขียว ม่วงแดง และม่วงดำ แล้วแต่พันธุ์ มี 1-4 เมล็ด

ประวัติการปลูก

จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ มีการบ่งบอกว่ามีการปลูกองุ่นกันมามากกว่า 5,000 ปี องุ่นสามารถเจริญเติบโตได้ดีทั้งในเขตหนาว เขตกึ่งร้อนกึ่งหนาว และเขตร้อน สำหรับประเทศไทยไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่านำเข้ามาในสมัยใด แต่คาดว่าน่าจะนำเข้ามาตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระองค์ท่านได้นำพันธุ์ไม้แปลกๆ จากต่างประเทศที่ได้เสด็จประพาสมาปลูกในประเทศไทย และเชื่อว่าในจำนวนพันธุ์ไม้แปลกๆ เหล่านั้นน่าจะมีพันธุ์องุ่นรวมอยู่ด้วย ในสมัยรัชกาลที่ 7 มีหลักฐานยืนยันว่าเริ่มมีการปลูกองุ่นกันบ้างแต่ผลองุ่นที่ได้มีรสเปรี้ยว การปลูกองุ่นจึงซบเซาไป ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 ได้เริ่มมีการปลูกองุ่นอย่างจริงจัง โดย หลวงสมานวนกิจ ได้นำพันธุ์องุ่นมาจากมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และปี พ.ศ. 2497 ดร.พิศ ปัญญาลักษณ์ ได้นำพันธุ์องุ่นมาจากทวีปยุโรปซึ่งสามารถปลูกได้ผลเป็นที่น่าพอใจ นับแต่นั้นมาการปลูกองุ่นในประเทศไทยจึงการแพร่หลายมากขึ้น

ประโยชน์และคุณค่าทางอาหาร

องุ่น มีสารอาหารที่สำคัญคือน้ำตาล และสารอาหารจำพวกกรดอินทรีย์ น้ำตาลกลูโคส น้ำตาลซูโคส วิตามินซี เหล็ก และ แคลเซี่ยม องุ่นยังสามารถนำไปทำเป็นเหล้าองุ่น ซึ่งเป็นเหล้าบำรุง ใช้เป็นยา การรับประทานองุ่นเป็นประจำ จะมีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แก้กระหาย ขับปัสสาวะ บำรุงกำลัง คนที่ร่างกายผอมแห้งแรงน้อย แก่ก่อนวัย ไม่มีเรี่ยวแรง ถ้ารับประทานองุ่นเป็นประจำ จะช่วยเสริมทำให้ร่างกายค่อยๆแข็งแรงขึ้นได้

สรรพคุณทางยา

ใช้ส่วนเครือและราก มีฤทธิ์ในการ ขับลม ขับปัสสาวะ รักษาโรคไขข้ออักเสบ ปวดเอ็น ปวดกระดูกและมีฤทธิ์ ระงับประสาท แก้ปวด แก้อาเจียนอีกด้วย

การปลูกองุ่นในประเทศไทย

ประเทศไทยมีการปลูกองุ่นในแถบภาคตะวันตก เช่น อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี อำเภอสามพราน อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งสามารถให้ผลผลิตได้ดี แต่เกษตรกรบางรายได้เปลี่ยนจากองุ่นเป็นพืชอื่น เนื่องจากมีปัญหาโรคแมลงระบาดมาก และแมลงดื้อยาไม่สามารถกำจัดได้ ทำให้พื้นที่ปลูกองุ่นในแถบนี้ลดลง พื้นที่ปลูกองุ่นได้ขยายไปในแถบภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือบ้างเล็กน้อย แต่มีปัญหาเรื่องโรคแมลงระบาดมากทำให้พื้นที่ปลูกองุ่นไม่ค่อยขยายเท่าที่ควร

พันธุ์องุ่นที่นิยมปลูก

-พันธุ์ไวท์มะละกา มี 2 สายพันธุ์ คือ ชนิดผลกลมและผลยาว ลักษณะช่อใหญ่ยาว การติดผลดีผลมีสีเหลืองอมเขียว รสหวานแหลม เปลือกหนาและเหนียว ในผลหนึ่งๆ มี 1-2 เมล็ด ช่วงเวลาหลังจากตัดแต่งกิ่งจนเก็บผลได้ประมาณ 4 เดือนครึ่ง ปีหนึ่งให้ผลผลิต 2 ครั้ง ผลผลิตประมาณ 10-15 กิโลกรัม/ต้น/ครั้ง
-พันธุ์คาร์ดินัล มีลักษณะช่อใหญ่ ผลดก ผลกลมค่อนข้างใหญ่ มีสีแดงหรือม่วงดำ รสหวาน กรอบ เปลือกบาง จึงทำให้ผลแตกง่ายเมื่อผลแก่ในช่วงฝนตกชุก ในผลหนึ่งๆ มีเมล็ด 1-2เมล็ด ช่วงเวลาหลังจากตัดแต่งกิ่งจนเก็บผลได้ใช้เวลา 3-3 เดือนครึ่ง ในเวลา 2 ปี สามารถให้ผลผลิตได้ถึง 5 ครั้ง ผลผลิตประมาณ 10-15 กิโลกรัม/ต้น/ครั้ง



กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

อัญชัน

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์

อาณาจักร พืช (Plantae)

ส่วน Magnoliophyta

ชั้น Magnoliopsida

อันดับ Fabales

วงศ์ Fabaceae

วงศ์ย่อย Faboideae

เผ่า Cicereae

สกุล Clitoria

สปีชีส์ Clitoria ternatea

ชื่อวิทยาศาสตร์ Clitoria ternatea

อัญชัน (อังกฤษ: Asian pigeonwings; ชื่อวิทยาศาสตร์: Clitoria ternatea L.) เป็น


ไม้เถา ลำต้นมีขนนุ่ม มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้

ใบ: เป็นช่อยาว 6-12 เซนติเมตร มีใบย่อยรูปไข่ 5-7ใบ
ดอก: ดอกสีน้ำเงินแก่ ดอกออกเดี่ยว ๆ รูปทรงคล้ายฝาหอยเชลล์ ยาว 2.5-3.5เซนติเมตรกลีบคลุมรูปกลม ปลายเว้าเป็นแอ่ง ตรงกลางมีสีเหลือง มีทั้งดอกซ้อนและดอกลา ออกดอกเกือบตลอดปี

ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ปลูกได้ทั่วไปในเขตร้อน

สรรพคุณ
ดอก สกัดสีมาทำสีผสมอาหาร ช่วยปลูกผมทำให้ผมดำขึ้น
ราก บำรุงตาแก้ตาฟาง ถูฟันแก้ปวดฟัน ตาแฉะ และปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ นำรากมาถูกับน้ำฝนใช้หยอดหูและหยอดตา


อัญชันในวรรณคดี
ในสมัยก่อนหญิงสาวมักนำอัญชันมาเขียนคิ้วให้ดำขลับ ซึ่ง นิราศธารโศก และ มหาชาติคำหลวง ได้เปรียบเทียบคิ้วหญิงนั้นงามราวดอกอัญชัน

ส่วนที่ใช้
ดอก เมล็ด ใบ ราก

ส่วนประกอบ
■มีสารอดีโนซีน (adenosine) สารแอฟเซลิน (afzelin)
■สารอปาราจิติน (aparajitin) กรดอราไชดิก (arachidic acid)
■สารแอสตรากาลิน (astragalin) กรดชินนามิกไฮดรอกซี (cinnamic acid, 4-hydroxy)
■สารเคอร์เซติน (quercetin) และสารซิโตสเตอรอล เป็นต้น
■ดอก - มีสารแอนโทไซอานิน


สรรพคุณและวิธีใช้
ดอก รักษาอาการผมร่วง แก้ฟกช้ำบวม ใช้ผสมอาหารให้สีม่วง เช่น ข้าวดอกอัญชัน ขนมดอกอัญชัน เป็นต้น
เมล็ด เป็นยาระบาย
ใบและราก อัญชันชนิดขาวใช้เป็นยาขับปัสสาวะและยาระบาย ชนิดม่วงแก้ตาฟางและตาแฉะ

หมายเหตุ
■น้ำคั้นจากดอกใช้ทาทำให้ผม หนวด เครา และคิ้วดก คนโบราณใช้ทาคิ้วเด็ก ทำให้คิ้วเด็กดกดำ
■ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตแชมพูสระผมและครีมนวด
■สีจากกลีบดอกสดมีสีน้ำเงินด้วยสารแอนโทไซอานิน ใช้เป็นสารบ่งชี้ (indicator) แทนลิตมัส (lithmus) เมื่อเติมน้ำมะนาว (กรด) ลงไปเล็กน้อยจะกลายเป็นสีม่วง
■ใช้แต่งสีขนม เช่น เรไร ขนมน้ำดอกไม้ ขนมขี้หนู
■ใช้แต่งสีอาหาร เช่น หุงข้าวผสมสีจากน้ำคั้นดอกอัญชัญได้สีน้ำเงินม่วงสวย รับประทานเป็นข้าวยำปักษ์ไต้ เป็นต้น
■เป็นไม้เลื้อย ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด

กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...