วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เถาหัวลิง

ชื่ออื่น ๆ : เถาหัวลิง (กรุงเทพฯ)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sarcolobus globusus Wall.

วงศ์ : ASCLEPIADACEAE

ลักษณะทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้เถา

ใบ : ใบเป็นใบเดี่ยว ออกกันเป็นคู่ ตรงข้ามกัน ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่ หรือเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมน ใบมีขนาดยาวประมาณ 1.2-2.5 ซม. ใต้ท้องใบมีเส้นใบประมาณ 5-7 คู่ เห็นได้ชัด

ดอก : ดอกออกเป็นช่อ ตามบริเวณง่าม ก้านช่อดอกยาวประมาณ 6-13 มม. ลักษณะของดอกมีกลีบรองกลีบดอก
และกลีบดอกอย่างละ 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน มีสีม่วงภายในกลีบ มีเกสรทั้งตัวผู้และตัวเมียเชื่อมติดอยู่
ดอกเมื่อบานเต็มที่จะโตประมาณ 1 ซม.

ผล : ผลมีลักษณะเป็นฝักรูปกลม มน เปลือกฝักเป็นสีน้ำตาล ฝักมีขนาดกว้างยาวประมาณ 4 นิ้ว ข้างในฝักมีเมล็ด เป็นไข่ แบน ยาวประมาณ 18 มม. มีขอบหนาเป็นสีน้ำตาลแก่

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางที่ชอบอากาศค่อนข้างชุ่มชื้น ขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด

ส่วนที่ใช้ : ใบ

สรรพคุณ : ใบ ใช้ใบสด นำมาตำผสมกับผลมะเยา ให้ละเอียดแล้วใช้แก้โรคปวดข้อ หรือแก้ไข้ส่า เป็นต้น




กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

พยัพเมฆ

ชื่ออื่น ๆ : หญ้าหนวดแมว (ไทย)

ชื่อสามัญ : Java Tea, Kidney Tea Plant, Cat is Wiskers

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Orthosiphon stamineus Benth.

วงศ์ : LABIATAE

ลักษณะทั่วไป :


ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ลำต้นนั้นจะมีความสูงประมาณ 50-100 ซม. ต้นกิ่งอ่อน จะเป็นสี่เหลี่ยม

ใบ : จะออกเป็นใบเดี่ยวตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ ลักษณะใบนั้นขอบใบจักเป็นสีเขียวเข้ม ตรงปลายใบจะสอบเรียวและแหลม ส่วนตรงโคนใบจะสอบแหลม ตรงกลางนั้นจะกว้างมาก

ดอก : จะออกดอกตรงปลายยอด เป็นสีขาวอมม่วงเรื่อ ๆ มีความยาวประมาณ 20-25 ซม. ดอกจะออกเป็นชั้น ๆ ตามก้านช่อดอกชั้นละประมาณ 6 ดอก มีลักษณะคล้ายดอกกะเพราะ หรือดอกโหระพา

เกสร : เกสรตัวผู้จะมีอยู่ประมาณ 4 อัน จะยาวยื่นออกมาพันกลีบดอก มีลักษณะคล้ายหนวดแมว ส่วนเกสรตัวเมียจะมีอยู่ 1 อัน แต่ยาวกว่าเกสรตัวผู้

การขยายพันธุ์ : โดยการเพาะเมล็ด

ส่วนที่ใช้ : ใบ เป็นยา

สรรพคุณ : ใบ ใช้รักษาโรคไต ขับปัสสาวะ รักษาโรคคุดทะราด ใช้ใบกับกิ่งต้มอาบ รักษาโรคหนองใน โดยการใช้กิ่งและใบต้มสารส้มกินวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร

อื่น ๆ : พรรณไม้ชนิดนี้ที่ใบจะมีสาร Orthosiphonin และเกลือของโปแตสเซี่ยมจะช่วยทำให้ Uric acid และเกลือ urate ไม่ไปสะสมที่ใด

ถิ่น ที่อยู่ : พรรณไม้นี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดีย พม่า แหลมอินโดจีน หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิค ชะวา ฟิลิปปินส์ และทวีปออสเตรเลีย ส่วนในประเทศไทยก็มีอยู่ทั่ว ๆ ไป บางบ้านมักจะปลูกไว้เป็นไม้ประดับ หรือปลูกตามวัดใช้เป็นยา

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา : ใบนั้นจะประกอบด้วยเกลือของโปแตสเซี่ยม ในปริมาณที่สูง จึงมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะในคนไข้ที่เป็นโรคไต และโรคบวมน้ำ (edema) โดยการใช้ใบทำเป็นยาชงดื่มแทนน้ำ และยังเป็นยาบรรเทาอาการปวด และอาการบวมตามข้อได้ สำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวานให้ดื่มน้ำสกัดจากใบจะทำให้ปริมาณของน้ำตาลใน เลือดลดลง และจะทำให้ความดันโลหิตลดต่ำลงด้วย




กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

หลิว

หลิว

ชื่ออื่น ๆ : หลิว (จีนกลาง), ลิ้ว (แต้จิ๋ว)

ชื่อสามัญ : Weeping Willow

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Salix babylonica Linn.

วงศ์ : SALICACEAE

ลักษณะ ทั่วไป :


ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้น ผลัดใบ ลำต้นมีความสูงประมาณ 10-20 เมตร กิ่งก้านสาขา ห้อยลู่ลง กิ่งอ่อนมีขนนุ่มขึ้นเล็กน้อย

ใบ : ใบมีลักษณะเป็นรูปหอก ยาวรี ปลายใบยาวแหลมเรียว ริมขอบใบหยักเล็กน้อย หลังใบเป็นสีเขียว ใต้ท้องใบมีสีขาว ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-6 นิ้ว ยาวประมาณ3.5-6.5 นิ้ว ก้านใบยาวราว 6-12 มม.

ดอก : ลักษณะของดอก ออกเป็นดอกเดี่ยว ดอกเพศผู้และเพศเมียจะแยกกันอยู่คนละต้นกัน ดอกเพศผู้มีขนาดยาวประมาณ 1.5-2 ซม. สำหรับดอกเพศเมียยาวประมาณ 5 ซม.

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ชอบแสงแดด ขึ้นได้ดีในดินเกือบทุกประเภท ชอบขึ้นอยู่ริมแม่น้ำ ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง

ส่วนที่ใช้ : ช่อดอกและยอดอ่อน กิ่ง ใบ

สรรพคุณ : ช่อดอกและยอดอ่อน ใช้สด นำมาต้มเอาน้ำกิน เป็นยาแก้ปวด และลดไข้ เป็นต้น

กิ่ง ใช้กิ่งแห้งนำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้โรคปวดข้อขัดเบา ขับปัสสาวะ บวมน้ำ นิ่ว ขับลม ตับอักเสบ หรือใช้กิ่งนำมาเผาไฟ ให้เป็นเถ้าแล้วเอาน้ำผสมทาบริเวณที่เป็นฝีคัณฑสูตร รำมะนาด และไฟลามทุ่ง เป็นต้น

ข้อมูลทางคลีนิค : 1. จากผู้ป่วยที่โรคเกี่ยวกับตับอักเสบชนิดเอ (hepatitis type A) ในจำนวน 253 คน ทดลองการรักษาโดยใช้กิ่งและใบสด ประมาณ 60 กรัม (แห้ง 30 กรัม) เติมน้ำ 500 มล. แล้วต้มให้เหลือ 300 มล. จากนั้นแบ่งให้กินเป็น 2 ครั้ง ผลจากการรักษาปรากฏว่า มีผู้ป่วยหายขาดเลย ประมาณ 96.3%

2. จากผู้ป่วยที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก ถึงชั้นหนังแท้ ผิวหนังถูกทำลาย จนเป็นหนังพุพอง ให้ใช้กิ่งสด นำเอามาเผาไฟให้เป็นถ่าน แล้วป่นให้เป็นผงละเอียด ผสมกับน้ำมันงา
ทำให้เหลวข้น แล้วใช้ทาบริเวณแผล ไม่ต้องปิดแผล ใช้เวลารักษาติดต่อกัน 3-14 วัน แผลนั้นก็จะหาย

3. จากผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง จำนวน 82 คน มีการรักษาโรค โดยการใช้กิ่ง ประมาณ 120 กรัม นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำมาต้มกรองเอาน้ำกิน ติดต่อกันนาน
10 วัน ผลปรากฏว่าผู้ป่วยไม่แสดงอาการชั่วคราว 34 คน อาการดีขึ้น 26 คน อาการดีขึ้นบ้าง 21 คน เหลืออีก 1 คน ไม่ได้ผลเลย

ข้อมูล ทางเภสัชวิทยา : จากการสกัด เนื้อเยื่อที่เพาะเลี้ยงจากตากิ่ง จะได้สารชนิดจะมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรีย Bacillus subtilis





กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

หมากผู้หมากเมีย

หมากผู้หมากเมีย

ชื่ออื่น ๆ
: หมากผู้ (ภาคเหนือ), มะผู้มะเมีย(ภาคกลาง), ทิฉิ่วเฮียะ (จีน-แต้จิ๋ว)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cordyline fruticoss A. Cheval

วงศ์ : AGAVACEAE

ลักษณะทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้พุ่ม ขนาดเล็ก ลักษณะของลำต้นตั้งตรง ไม่มีกิ่งก้านสาขามากนัก
ลำต้นมีความสูงประมาณ 1-3 เมตร

ใบ : ใบออกเป็นวงสลับกัน บริเวณส่วนยอดของลำต้น ลักษณะของใบเป็นรูปยาวรี ปลายใบแหลม มีขนาดยาวประมาณ 12-20 ซม. กว้างประมาณ 2-4 นิ้ว ใบมีสีแดงเขียว หรือสีแดงม่วง

ดอก : ดอกออกเป็นช่อ ยาวประมาณ 12 นิ้ว ออกตามบริเวณยอดลำต้น ลักษณะของดอกย่อย มีกลีบเลี้ยง และกลีบดอกอย่างละ 6 กลีบ ดอกมีเป็นสีม่วงแดง หรือสีชมพูสลับด้วยสีเหลือง ดอกมีขนาดยาวประมาณ 1 ซม.

ผล : ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงกลม มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 มม. ผลมีลักษณะฉ่ำน้ำ ภายในผลมีเมล็ดอยู่ 1-3 เม็ด

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง เจริญเติบโตได้ดีในดินเกือบทุกประเภท มีการขยายพันธุ์ด้วยการปักชำ แยกลำต้น

ส่วนที่ใช้ : ใบ ดอก ราก

สรรพคุณ : ใบ ใช้ใบสด ประมาณ 15-30 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกิน เป็นยาแก้บิด ถ่ายเป็นมูกเลือดปัสสาวะ เป็นเลือด ไอ เจ็บกระเพาะอาหาร ไอเป็นเลือด หรือใช้ใบสดนำมาตำให้ละเอียด ใช้พอกหรือทา บริเวณที่เป็นบาดแผล

ดอก ใช้ดอกแห้ง ประมาณ 15-30 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้วัณโรคปอด ไอเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นเลือด และเป็นริดสีดวงทวาร หรือใช้ดอกสดนำมาตำให้ละเอียด

ใช้พอก ห้ามเลือด แก้บวมอักเสบ เป็นต้น

ราก ให้รากแห้ง ประมาณ 3-5 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้บิด ลำไส้อักเสบ แก้ท้องเสีย และแก้ประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ เป็นต้น

ข้อห้ามใช้ : หญิงที่มีครรภ์ ห้ามรับประทาน




กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

หมอน้อย

ชื่ออื่น ๆ : หญ้าละออง, หญ้าดอกขาว (กรุงเทพฯ), หญ้าสามวัน (เชียงใหม่), ก้านธูป (จันทบุรี), ถั่วแฮะดิน, ฝรั่งโคก (เลย), เสือสามขา (ตราด) , ซางหางฉ่าว (จีนกลาง)
เซียหั่งเช่า (แต้จิ๋ว)

ชื่อสามัญ : Purple Fleabane

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Vernonia cinerea (L) Less. (Conyza cinerea L.)

วงศ์ : COMPOSITAE

ลักษณะทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก ลักษณะของลำต้นตั้งตรง มีกิ่งก้านน้อยทั่วกิ่งและก้านมีขนขึ้นปกคลุม
ลำต้นมีความสูงประมาณ 8-32 นิ้ว

ใบ : ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน มีขนาดกว้างประมาณ 1-3 ซม. ยาวประมาณ 2-6 ซม.

ดอก : ดอกออกเป็นช่อ หรือเป็นกระจุก ดอกย่อยมีประมาณ 20ดอก ดอกเป็นสีม่วงแดง ลักษณะของดอกคล้ายกับดอกดาวเรือง

ผล : เมื่อดอกร่วงโรยแล้ว ก็จะติดผล มีขนที่ข้อเป็นสีขาว ข้างในผลมีเมล็ดเดี่ยว เปลือกของมันแข็ง และแห้งไม่แตก มีขนาดยาวประมาณ 2 มม.

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ต้องการน้ำ และความชื้นในปริมาณปานกลาง ขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด

ส่วนที่ใช้ : ลำต้น ใบ ดอก เมล็ด ราก

สรรพคุณ : ลำต้น ใช้ลำต้นแห้ง ประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้ไข้ ปวดท้อง ท้องเฟ้อ ท้องขึ้น แผลบวมอักเสบ ความดันโลหิตสูง หรือใช้ตำให้ละเอียดเอามาพอกแก้นมคัด ดูดหนองแก้บวม หรือคั้นเอาน้ำจากลำต้นกินแก้บิด ท้องเสีย และแก้ริดสีดวงทวาร เป็นต้น

ใบ ใช้ใบสด นำมาตำให้ละเอียด ใช้พอกแผลช่วยสมาน หรือคั้นแล้วกรองเอาน้ำ หยอดตาแก้ตาฟาง ตาแดง

เมล็ด ใช้เมล็ดแห้ง ประมาณ 2-4 กรัม นำมาป่นให้ละเอียด ใช้ชงกับน้ำร้อนกิน เป็นยาขับพยาธิเส้นด้าย
ปัสสาวะขัด ท้องอืด แก้ไอ บำรุงธาตุ โรคผิวหนังเรื้อรัง โรคผิวหนังด่างขาว และเป็นยาแก้พิษ เป็นต้น

ราก ใช้รากสด 30-60 กรัม (แห้ง 15-30 กรัม) นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาขับพยาธิ ขับปัสสาวะ แก้ไอเรื้อรัง ช่วยเร่งคลอด และขับรกหลังคลอด เป็นต้น

ตำรับ ยา : 1. เป็นความดันโลหิตสูง ให้ใช้ลำต้นแห้ง สะพ้านก๊น ต้นแห้ง ส้มดินต้นแห้ง ในปริมาณเท่ากันอย่างละ 15 กรัม นำมารวมกัน แล้วต้มเอาน้ำกิน

2. เป็นไข้หวัด ไอ ให้ใช้คนทีเขมาแห้ง ใบไทรย้อยใบทู่แห้ง และรากบ่อฮ๋วมแห้ง

ในปริมาณอย่างละ 15 กรัม นำมารวมกันต้มเอาน้ำกิน

3. เด็กกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ให้ใช้ลำต้นแห้งประมาณ 15-30 กรัม นำมาชงกินกับน้ำร้อนกินแบบน้ำชา

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา : ใบ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคได้เล็กน้อย แต่ไม่มีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิ แต่เมล็ดและราก

มีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิได้



กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552

หนุมานประสานกาย

ชื่ออื่น ๆ : ว่านอ้อยช้าง (เลย), ชิดฮะลั้ง , กุชิดฮะลั้ง (จีน)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Schefflera leucantha Viguier.

วงศ์ : ARALIACEAE

ลักษณะทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้พุ่ม ที่มีลำต้นสูงประมาณ 1-2 เมตร ผิวลำต้นค่อนข้างเรียบเกลี้ยง

ใบ : ใบออกเป็นกระจุก แผ่ออกแบบนิ้วมือ มีใบย่อยประมาณ 7-8 ใบ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปยาวรี
หลายใบแหลมเรียว โคนใบมีหูใบซึ่งจะติดอยู่กับก้านใบพอดี พื้นผิวใบเรียบเป็นมัน ริมขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย
ใบมีขนาดกว้างประมาณ 0.5-1.5 นิ้ว ยาวประมาณ 2-4 นิ้ว ก้านใบย่อยยาวประมาณ 8-25 มม.

ดอก : ดอกออกเป็นช่อ ๆ หนึ่งยาวประมาณ 3-5 นิ้ว ลักษณะของดอกย่อย เป็นดอกสีเขียว มีขนาดเล็ก ก้านช่อดอกยาวประมาณ 3-7 มม.

ผล : ผลมีลักษณะเป็นรูปไข่ อวบน้ำ ขนาดของผลมีความยาวประมาณ 5-6 มม. กว้างประมาณ 4-5 มม. ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่เต็มที่ หรือสุกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสด

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ขึ้นได้ดีกับดินทุกประเภท ต้องการน้ำและความชื้นในปริมาณปานกลาง
ขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด

ส่วนทีใช้ : ใบ

สรรพคุณ : ใบ ใช้ใบสด ประมาณ 9 ใบ นำมาต้มเอาน้ำ หรือใช้ใบสดนำมาตำให้ละเอียดแล้วคั้นเอาน้ำ ผสมกับสุราเป็นยาแก้ไอ แก้หอบหืด แก้อาเจียนเป็นเลือด และแก้พิษต่าง ๆ หรือใช้ใบสดนำมาตำให้ละเอียดเอากาก ใช้ทาหรือพอก สมานแผล ห้ามเลือด เป็นต้น



กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

หนามพรม

หนามพรม

ชื่ออื่น ๆ
: พรม (ภาคกลาง), ขี้แฮด (ภาคเหนือ)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Carissa cochinchinensis Pierre.

วงศ์ : APOCYNACEAE

ลักษณะ ทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้พุ่ม ที่มีลำต้นมีความสูงประมาณ 4-5 เมตร ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขามาก ทั่วลำต้นมีหนาม และลำต้นมียางเป็นสีขาว

ใบ : ใบเป็นใบเดี่ยว ลักษณะของใบเป็นรูปไข่หรือรูปกลม ปลายแหลมมีติ่ง โคนใบแหลม ริมขอบใบเรียบไม่มีหยัก
ใต้ท้องใบมีเส้นใบ ประมาณ 5-7 คู่ ซึ่งจะเห็นได้ชัดมาก

ดอก : ดอกออกเป็นช่อ ลักษณะของดอกเป็นสีขาว มีกลิ่นหอม กลีบดอกและกลีบรองกลีบดอกมีอย่างละ 5 กลีบ กลีบรองกลีบดอกเป็นรูปหอก โคนกลีบจะเชื่อมติดกันเป็นรูปท่อ ปลายกลีบจะแยกออกจากกัน กลีบดอกยาวประมาณ 2.5 มม. และโคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายกลีบแยกกลางท่อดอกมีเกสรทั้งเกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย

ผล : ผลมีลักษณะเป็นรูปกลมรี ข้างในผลมีเมล็ดอยู่ 4 เม็ด

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ที่ขึ้นได้ดีในดินเกือบทุกชนิด ขยายพรรณด้วยการใช้เมล็ด

ส่วนที่ใช้ : เนื้อไม้

สรรพคุณ : เนื้อไม้ ใช้เนื้อไม้สด นำมาปรุงเป็นยาบำรุงกำลัง และทำให้ร่างกายแข็งแรง

ถิ่นที่อยู่ : เป็นพรรณไม้ที่พบขึ้นตามบริเวณป่าเบญจพรรณแล้งทั่วไป




กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

หนามแดง

หนามแดง

ชื่ออื่น ๆ : หนามขี้แฮด (ภาคเหนือ), มะนาวไม่รู้โห่ (ภาคกลาง), มะนาวโห่ (ภาคใต้)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Carissa carandas Linn.

วงศ์ : APOCYNACEAE

ลักษณะ ทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้พุ่ม ขนาดใหญ่ ลำต้นมีความสูงประมาณ 2-3 ฟุต ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขา ทั่วลำต้นมีหนามแหลมยาวประมาณ 2 นิ้ว

ใบ : ใบเป็นใบเดี่ยว ซึ่งจะออกตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ป้อม หรือรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมน ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1-1.5 นิ้ว ยาวประมาณ 1.5-3 นิ้ว ริมขอบใบเรียบ ไม่หยัก พื้นผิวใบเกลี้ยงเรียบเป็นมัน ใต้ท้องใบมีเส้นใบมาก และเห็นได้ชัดมาก

ดอก : ดอกออกเป็นช่อ ตามบริเวณปลายยอด ดอกมีสีขาว หรือสีชมพู กลิ่นหอม ลักษณะของดอกย่อย มีกลีบรองกลีบดอก ซึ่งมีโคนกลีบเชื่อมติดกัน ส่วนปลายกลีบแยกเป็นรูปหอก กลีบดอกมี 5 กลีบ ยาวประมาณ 1 ซม. ข้างในหลอดดอกมีเกสรตัวผู้ 5 อัน และตัวเมีย 1 อัน

ผล : ผลมีลักษณะ เป็นรูปรี มีขนาดยาวประมาณ 0.5-1 นิ้วผลอ่อนมีเป็นสีแดง แต่พอผลแก่เต็มที่ก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำ ข้างในผลมีเมล็ดอยู่ 4 เมล็ด

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ขึ้นได้ดีในดินเกือบทุกประเภทต้องการความชื้นในปริมาณปานกลาง
มีการขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด

ส่วนที่ใช้ : เนื้อไม้ ใบ ผล ราก

สรรพคุณ : เนื้อไม้ ใช้เนื้อไม้ นำมาปรุงเป็นยาบำรุงธาตุ บำรุงไขมัน ในร่างกายให้แข็งแรง และเป็นยาแก้อ่อนเพลีย เป็นต้น

ใบ ใช้ใบสด นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้ท้องร่วง แก้ปวดหู แก้ไข้ แก้เจ็บคอ และแก้เจ็บปาก เป็นต้น

ผล ใช้ทั้งผลสุก และผลดิบ กินเป็นยาแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน และเป็นยาฝาดสมาน เป็นต้น

ราก ใช้รากสด นำมาต้มเอาน้ำกิน เป็นยาขับพยาธิ บำรุงธาตุ เจริญอาหาร เป็นยาบำรุงกระเพาะอาหาร หรือใช้รากสดนำมาตำให้ละเอียด ผสมกับสุรา นำมาทาหรือพอกแก้คัน และใช้พอกบาดแผล เป็นต้น




กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

หนาดใหญ่

ชื่ออื่น ๆ : หนาดหลวง, คำพอง (ภาคเหนือ), พ็อบกวา, แน (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), พิมเสน, ใบฟลม, ผักชีช้าง (ภาคกลาง), จะบอ (มลายู-ปัตตานี), หนาด (จันทบุรี), ไต่ฮวงไหง่, ไหง่หนับเฮียง

ชื่อสามัญ : Ngai Camphor Tree.

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Blumea balsamifera DC.
วงศ์ : COMPOSITAE

ลักษณะทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก ลำต้นมีความสูงประมาณ 5-6 ฟุต ทั่วลำต้นมีขนสีขาวนุ่ม ลำต้นเป็นแก่นแข็ง

ใบ : ใบมีลักษณะเป็นรูปยาวรี ปลายใบแหลม โคนใบเรียวแหลมเล็กน้อย ริมขอบใบหยักเป็นซี่ใหญ่ ไม่เท่ากัน ขนาดของใบกว้างประมาณ 1.2-4.5 ซม. ยาวประมาณ 10-17 ซม. หลังใบและใต้ท้องใบมีขนทั้ง 2 ด้าน

ดอก : ดอกออกเป็นช่อ ตามบริเวณปลายกิ่ง ลักษณะของดอกย่อย มีกลีบดอกติดกันเป็นหลอ ส่วนปลายกลีบแยกออกจากกันเป็น 5 กลีบ กลีบดอกอ่อนจะมีเป็นสีเหลือง แต่พอแก่กลีบดอกก็จะเปลี่ยนกลายเป็นสีขาว

ผล : ผลมีลักษณะเป็นเส้นเล็ก ๆ มีเหลี่ยมอยู่ 10 เหลี่ยม ส่วนบนเป็นขนสีขาว ๆ

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่มักพบขึ้นตามทีรกร้าง ทุ่งนา หรือหุบเขาทั่วไป ขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด หรือผล

ส่วนที่ใช้ : พิมเสน (กลั่นได้จากใบและยอดอ่อน) ใบและยอดอ่อน ราก

สรรพคุณ : พิมเสน สกัดใบและยอดอ่อนด้วยไอน้ำ จะได้น้ำมันหอม ทำให้เย็น พิมเสนก็จะตกผลึก แล้วกรองแยกเอาผลึกพิมเสนมาใช้ประมาณ 0.15-0.3 กรัม นำมาป่นให้เป็นผงละเอียด หรือทำเป็นยาเม็ดกินเป็นยาแก้ปวดท้อง
ท้องร่วง หรือใช้ขับลม เมื่อใช้ภายนอกนำผงมาโรยใส่บาดแผล แผลอักเสบ แก้กลากเกลื้อน และแผลฟกช้ำ เป็นต้น

ใบ และยอดอ่อน ใช้ใบและยอดอ่อนแห้งประมาณ 10-18 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้ไข้ ขับเหงื่อ แก้จุกเสียด แน่นเฟ้อ ปวดท้อง ขับเสมหะ แก้ริดสีดวงจมูก ขับลมในลำไส้ ขับพยาธิ แก้บิด บำรุงกำลัง หรือใช้ภายนอก ด้วยการบดให้เป็นผงละเอียดผสมสุรา ใช้พอกหรือทาแผลฟกช้ำ
ฝีบวมอักเสบ แผลฝีหนอง บาดแผลสด ห้ามเลือด แก้ปวดหลังเอว ปวดข้อ และแก้กลากเกลื้อน เป็นต้น

ราก ใช้รากสด ประมาณ 15-30 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้บวม ปวดข้อ ปวดท้อง ท้องเสีย ขับลม ทำให้การหมุนเวียนของโลหิตดี และแก้ปวดเมื่อยหลังคลอดแล้ว เป็นต้น

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา : สารที่ได้จากการสกัดใบ เมื่อนำมาฉีดเข้ากับสัตว์ทดลองปรากฏว่า มีฤทธิ์ช่วยลดความดันโลหิต ขยายหลอดลม ทำให้กล้ามเนื้อลายหดตัว และช่วยยับยั้ง Sympathetic nerve แต่ถ้านำมาใช้กับคนมีผลทำให้ความดันโลหิตสูง กระวนกระวายใจ และทำให้นอนไม่หลับ เป็นต้น





กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

หญ้าลิ้นงู


หญ้าลิ้นงู

ชื่ออื่น ๆ : สุ่ยเฉียบฉ่าว (จีนกลาง), จุ่ยจี้เช่า (แต้จิ๋ว)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Oldenlandia corymbosa Linn (Hedyotis” corymbosa Lam.)

วงศ์ : RUBIACEAE

ลักษณะทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก ที่มีลำต้นเลื้อยยาว ประมาณ 6-20 นิ้ว ลำต้นมีลักษณะเรียบเกลี้ยง
เล็กยาว และแตกกิ่งก้านสาขาออกมาก

ใบ : ใบมีลักษณะแหลมเรียวเล็ก ไม่มีก้านใบ หูใบมีขนาดเล็กขนาดของใบยาวเพียง 0.5-1 นิ้ว กว้าง 1.5-3.5 มม.

ดอก : ดอกออกเป็นช่อ ๆ หนึ่งมีประมาณ 2-4 ดอก แยกออกกันเป็นคู่ ๆ ออกตามบริเวณง่ามใบ ลักาณะของดอกมีกลีบดอกและกลีบรองกลีบดอก มีสีขาวเป็นรูปกรวยแยก ปลายแยก เป็น 4 กลีบ ดอกบานเต็มที่มีขนาดโตประมาณ 2.5 มม. ก้านดอกยาวประมาณ 0.6-2 ซม.

ผล : ผลมีลักษณะเป็นสันสี่มุม มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 มม. เปลือกนอกแข็งไม่แตก ข้างในผลมีเมล็ดเล็กเล็ก เป็นจำนวนมาก

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้ที่ชอบขึ้นตามที่ที่มีความชื้นแฉะ เจริญเติบโตได้ดี ในดินอุดมร่วนซุย ขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด

ส่วนที่ใช้ : ลำต้น

สรรพคุณ : ลำต้น ใช้ลำต้น ประมาณ 15-30 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้ไข้มาเลเรีย เป็นลำไส้อักเสบ หรือใช้ลำต้นสด ต้มเอาน้ำใช้ล้างแผลฝีบวม ไฟไหม้น้ำร้อนลวก เป็นต้น





กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

หญ้าแพรก

หญ้าแพรก

ชื่ออื่น ๆ : หญ้าแผด (ภาคเหนือ), หนอเก่เค (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ทิซั่วเช่า (จีน)

ชื่อสามัญ : Dub grass, Florida grass, Bermuda grass, Bahana grass, Scutch grass, Creeping-cynodon, Wire grass

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cynodon dactylon Pers.

วงศ์ : GRAMINEAE

ลักษณะ ทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้ประเภทเดียวกับหญ้า แตกกิ่งก้าน เลื้อยปกคลุมดินยาวประมาณ 1 เมตร และลำต้นที่ชูตั้งขึ้นสูงประมาณ 4-12 นิ้ว ลักษณะของลำต้นเป็นข้อ และมีรากงอกออกมา

ใบ : ใบออกที่ข้อลำต้นตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นเส้นยาว โคนใบมีขนสั้น ปลายใบแหลมยาว ขนาดของใบมีความยาวประมาณ 1-6 ซม. กว้างประมาณ 1-3 มม.

ดอก : ดอกออกเป็นช่อ ช่อหนึ่งมีช่อดอกย่อยอีกประมาณ 3-6 ช่อ ลักษณะของช่อดอกย่อย เป็นเส้นมีสีเขียวอมเทา หรือสีม่วงยาวประมาณ 1-2 นิ้ว และลักษณะของดอกย่อยจะออกเรียงกันเป็นแถว

ผล : เมื่อดอกร่วงก็จะติดผล มีขนาดยาวประมาณ 1 มม.

การ ขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้ที่มักพบขึ้นเอง ตามที่ว่างริมถนน หรือบริเวณสนามหญ้า ขึ้นได้ดีในดินเกือบทุกชนิด ต้องการความชื้นในปริมาณค่อนข้างมาก ขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด กิ่ง และราก

ส่วนที่ใช้ : ลำต้น ราก

สรรพคุณ : ลำต้น ใช้ลำต้นสด ประมาณ 15-30 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้ไข้ ขับลม อาเจียนเป็นเลือด แก้อัมพาต ปวดเมื่อยกระดูก แก้โรคเบาหวาน ท้องเสีย ขับปัสสาวะ แก้บวมน้ำ แก้ริดสีดวงทวาร หรือใช้ลำต้นสดนำมาตำให้คั้นเอาน้ำและกาก ทา หรือพอกแก้ปวดข้อ ช่วยห้ามเลือด พิษไข้มีผื่นต่าง ๆ เช่น เป็นหัด เหือด อีสุกอีใส ดำแดง เป็นต้น

ราก ใช้รากแห้งประมาณ 60 กรัมนำมาต้ม หรือบดให้ละเอียด ใช้กินเป็นยาแก้โรคหนองเรื้อรัง ขับปัสสาวะ แก้นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ซิฟิลิสในระยะออกดอก ริดสีดวงทวารมีเลือดออก และเป็นยาแก้บวมน้ำ เป็นต้น

ข้อมูล ทางเภสัชวิทยา : 1. จากการทดลองฉีดอัลคาลอยด์ ของหญ้าแพรก ในปริมาณ 2.5 มก. ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ฉีดเข้าในหลอดโลหิตดำ ของกระต่าย ผลปรากฏว่าเลือดจากบาดแผลของกระต่ายเกิดการแข็งตัวขึ้น
และเลือดหยุดไหลได้เร็วขึ้น

2. จากการสกัดลำต้นของหญ้าแพรก ด้วยอีเธอร์ จะได้สารที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ Escherichia coli, Pseudomonas aeruginosa, Streptococcus faecalis Salmonella typhi, Shigella dysenteriae, Staphylococcus aureus, Bacillus subtilis แต่สารที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งมีการทดลองกับ Vaccinia virus




กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

หญ้าพันงูแดง

หญ้าพันงูแดง

ชื่ออื่น ๆ : ****งูน้อย (ภาคเหนือ), พันงูแดง (ภาคกลาง), อั้งเกยซั้งพี (จีน-แต้จิ๋ว)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cyathula prostrata (Linn.) Bl.

วงศ์ : AMARANTHACEAE

ลักษณะ ทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก มีลำต้นสูงประมาณ 1-2.5 ฟุต ลำต้นมีลักษณะเป็นข้อ มีสีแดง ผิวเปลือกลำต้นเรียบเกลี้ยง หรือมีขนเล็กน้อย

ใบ : ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ลักษณะของใบเป็นเหลี่ยม โคนใบมน ปลายใบแหลม ริมขอบใบเรียบไม่มีหยัก ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1.5-5 ซม. ยาวประมาณ 2.3-9 ซม.

ดอก : ดอกออกเป็นช่อ ตั้งตรงตามบริเวณปลายยอด ช่อดอกยาวประมาณ 7.5-18 นิ้ว ลักษณะของดอกมีสีเขียวอ่อน ปลายช่อมีดอกออกเป็นกระจุกรวมกัน โคนช่อจะมีดอกห่างกัน

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้ที่ชอบขึ้นตามพื้นที่ลุ่มชื้นแฉะ ขึ้นเองตามธรรมชาติ

ส่วนที่ใช้ : ทั้งลำต้น

สรรพคุณ : ทั้งลำต้น ใช้ลำต้นสด นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้ไอ ขับปัสสาวะ แก้เบื่อเมา แก้บิด ขับโลหิต แก้นิ่ว ขับเสมหะ หรือใช้ภายนอกมาตำพอก หรือทาแก้โรคผิวหนัง ถูกตะขาบกัด เป็นต้น




กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

หญ้าพันงูขาว

หญ้าพันงูขาว

ชื่ออื่น ๆ : พันงูเล็ก, พันงูขาว, หญ้าท้อง (ภาคกลาง)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Achyranthes aspera Linn.

วงศ์ : AMARANTHACEAE

ลักษณะทั่วไป


ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีลำต้นตั้งตรง ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขามาจากโคนลำต้นนั้น
มีขนนุ่มขึ้นทั่วไป

ใบ : ใบมีลักษณะเป็นรูปยาวรี หรือรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบแหลม หรือป้าน ริมขอบใบเรียบ ไม่มีหยัก

ดอก : ดอกออกเป็นช่อตั้งตรง ในช่อดอกนั้น มี หนามเป็นมันมีสีม่วง หรือสีแดง กลีบดอกมีลักษณะเป็นรูปไข่ มีสีขาวเมื่อแก่ ดอกนั้นก็จะกลายเป็นหนามแหลม

ผล : ผลมีลักษณะเป็นหนามแหลม

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้ที่มักพบขึ้นตามบริเวณ ที่รกร้าง และในที่ที่มี ขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด

ส่วนที่ใช้ : ลำต้น ดอก ราก

สรรพคุณ : ลำต้น ใช้ลำต้นสด นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาขับปัสสาวะ เป็นยาระบาย บำรุงธาตุ แก้โรคริดสีดวงทวาร แก้ท้องร่วง โรคเกี่ยวกับปอด โรคซิฟิลิส และแก้นิ่ว เป็นต้น

ดอก ใช้เป็นยาแก้ขับเสมหะ

ราก ใช้รากนำมาต้ม เอาน้ำกินเป็นยาแก้นิ่ว




กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

หญ้าใต้ใบ

หญ้าใต้ใบ

ชื่อวิทยาศาสตร์: Phyllanthus urinaria L.

วงศ์: EUPHORBIACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์: ไม้ล้มลุก สูง 30-60 ซม.

ใบ ใบเรียงสลับระนาบเดียว ใบเดี่ยว รูปขอบขนาน กว้าง 3-5 มม. ยาว 6-14 มม. โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบสีม่วงแกมน้ำตาล

ดอก ดอกช่อออกที่ซอกใบ ดอกแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน ดอกเพศเมียเป็นดอกเดี่ยว ดอกเพศผู้ออกเป็นกระจุก สีนวล

ผล ผลแห้งแตกได้ มีผิวขรุขระ และขนาดค่อนข้างใหญ่กว่าลูกใต้

ชื่อวิทยาศาสตร์ Phullanthus amarusschumชื่อวงศ์ EUPHORBIACEAEชื่ออื่น หญ้าใต้ใบขาว, มะขามป้อมดิน

สรรพคุณ

ทั้งต้นรสขมจัด แก้ไข้ทุถชนิด แก้ไข้จับสั่น ดับพิษร้อน แก้พิษตานซาง แก้โทษน้ำดีพิการ นอนหลับๆตื่น สะดุ้งผวา กระตุ้นไตให้ทำงานแก้ขัดเบา แก้กามโรค แก้ดีซ่าน แก้ริดสีดวง แก้โรคท้องมาน แก้ปวดท้อง แก้ไอ ขับระดู ขาว ขับปัสสาวะ ลดความดันเลือด รักษาโรคตับอักเสบ ขนิดบี

วิธีใช้

๑. แก้ไข้ท้องบระดู นำหญ้าใต้ใบทั้ง ๕ ล้างน้ำสะอาด ตำละเอียดผสมสุรา คั้นเฉพาะน้ำยา กินครั้งละ ๑ ถ้วยชา

๒. แก้ร้อนใน ให้เอาหญ้าใต้ใบทั้ง ๕ ต้มกิน

๓. ขับเหงื่อ เอาหญ้าใต้ใบต้มกินขับเหงื่อ ลดไข้ได้

๔. ขับปัสสาวะ นำหญ้าใต้ใบต้มกิน กระตุ้นไตให้ทำงานและขับ ปัสสาวะ

๕. แก้ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ใช้หญ้าใต้ใบต้มกิน รักษาโรคติด เชื้อทางเดินปัสสาวะ เช่น ไตอักเสบจนตัวบวม ( ให้สังเกตดู กินแล้วต้อง มีปัสสาวะออก ถ้ากินแล้วปัสสาวะไม่ออกให้หยุดยา)

๖. แก้นิ่ว หญ็าใต้ใบทั้ง ๕ จำนวน ๑ กำมือ ตำแหลกคั้นน้ำดื่มให้ได้ครึ่งถ้วยชา เอาสารส้มขนาดปลายนิ้วก้อยละลายลงไป ดื่มให้หมดครั้งละ ครึ่งถ้วยชา วันละ ๓ เวลาก่อนอาหาร ดื่มติดต่อกันให้ได้ ๓ วัน จากนั้น ใช้ลูกใต้ใบ ทั้ง๕ จำนวน ๑ กำมือ ต้มกับน้ำตาลทรายแดงให้พอหวานดื่มต่างน้ำติดต่อกันอีก ๓ วัน ขึ้นวันที่

๗ ดื่มน้ำอ้อยสด วันละ ๑ ขวดน้ำปลาอีก ๓ วัน เพื่อล้างนิ่วเป็นขั้นสุดท้าย รวม ๑ รอบ การรักษาเป็นเวลา ๙ วัน๗. แก้ประจำเดือนมากว่าปกติ ใช้รากสดต้นลูกใต้ใบตำผสมกับ น้ำซาวข้าวกิน

๘. ขับประจำเดือน ใช้ต้นลูกใต้ใบต้มกินขับประจำเดือน

๙. แก้นมหลง หญิงที่คลอดบุตรแล้วน้ำนมที่เคยไหลเกิดหยุดไหลและมีอาการปวดเต้านมด้วย เรียกอาการนี้ว่า นมหลง ถ้าปล่อยไว้จะกลายเป็นฝีที่นมได้ วิธีใช้คือ เอาลูกใต้ใบทั้งห้า จำนวน ๑ กำมือ ตำผสม เหล้าขาวคั้นเาอน้ำกิน ๑ ถ้วยชา เอากากพอกทำเพียงครั้งเดียว ไม่กี่นาที นมจะไหลออกมา

๑๐. แก้ปวดหลังปวดเมื่อย ใช้หญ้าใต้ใบทั้ง ๕ ล้างน้ำสะอาดสับเป็น ชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้ง ใส่หม้อดินต้ม ดื่มน้ำยาต่างน้ำชา มีสรรพคุณ แก้ปวดหลังปวดเอว

๑๑. แก้เถาดานในท้อง เถาดานมีลักษณะเป็นก้อนแข็งในท้องบางที มีลักษณะเป็นแผ่นแข็ง อาจเป็นผลทำให้ปวดหลังตามาได้ เอาลูกใต้ใบทั้งห้า ตากให้แห้ง ๑ ลิตร แช่ในสุรา ๑ ลิตร หมกข้าวเปลือกไว้ ๗ วัน แล้วเอามานึ่ง คะเนว่าธูปหมด ๑ ดอก กิน เช้า-เย็น

๑๒. ยาบำรุง ใช้รากและใบของลูกใต้ใบ ทำเป็นยาชงน้ำกิน โดยถือว่า เป็นยาบำรุงกำลังอย่างดี

๑๓. แก้เบาหวาน ให้เอาลูกใต้ใบทั้งห้า ๑ กำมือ ต้มดื่มแก้เบาหวาน

๑๔. แก้ดีซ่าน เอาลูกใต้ใบทั้งห้า ต้ม ๓ เอา ๑ กินครั้งละ ครึ่ง -๑ แก้ว วันละ ๓ -๔ ครั้ง ในจีนใช้ต้นหญ้าใต้ใบต้มกินติดต่อกัน ๑ สัปดาห์ และ ยังถือว่าช่วยกำจัดพิษออกจากตับซึ่งจะมีผลทำให้สายตาดี ส่วนใน อินเดีย ใช้เฉพาะรกาต้มกิน เป็นยาแก้ดีซ่านดีมาก

๑๕ แก้กระเพาะอาหารพิการ ใช้รากลูกใต้ใบต้มหรือชงน้ำกิน บำรุง กระเพาะอาหารในเขมรใช้ลูกใต้ใบเป็นยาเจริญอาหาร ในจีน ใช้ หญ้าใต้ใบรักษาลำไส้อักเสบ

๑๖. รักษาแผล ในอินเดีย ใช้ใบลูกใต้ใบ ตำพอกหรือตำคั้นเอาน้ำทารักษาแผลสด แผลฟกช้ำ และใช้ใบตำผสมน้ำซาวข้าวพอกรักษาแผล เรื้อรัง

๑๗. แก้คัน ใช้ใบผสมกับเกลือ ตำแก้คัน

๑๘. แก้เริม ใช้ลูกใต้ใบทั้งห้า ตำผสมเหล้าคั้นเอาน้ำยา แล้วเอาสำลี ชุบแปะตรงที่เป็นเริม จะรู้สึกเย็นและหายปวด

๑๙. แก้ฟกช้ำ ใช้ต้นสดๆ ตำผสมกับสุราพอกแก้ฟกบวม บางตำรา ใช้คลุกกับข้าวสุกเสียก่อน ค่อยพอก ในอินเดีย ใช้ใบและรากแห้งบดเป็นผงผสมกับน้ำซาวข้าวพอกแก้ฟกบวม

๒๐. แก้ฝี ใช้ต้นหญ้าใต้ใบสดๆ ตำผสมกับสุรา เอาน้ำทาหรือพอกแก้ ปวดฝี

๒๑. แก้หืด ใช้ลูกใต้ใบ ทั้งห้า นำมาล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียดผสม กับน้ำอุ่นคั้นเอาน้ำเฉพาะน้ำดื่มครั้งละ ๒-๓ อึก เป็นเวลา ๓ วันๆละ ๓ ครั้ง ก่อนอาหาร

๒๒. แก้บิด ใช้ลูกใต้ใบทั้งห้าต้มกิน หรือใช้ลูกใต้ใบทั้งห้า แทรกปูน แดง ขนาดเม็ดถั่วดำ ต้มรวมกันกินแก้บิด



กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

หญ้างวงช้าง

ชื่อวิทยาศาสตร์ Heliotropium indicum L.

ชื่อวงศ์ Boraginaceae

ชื่ออื่นๆ หงายงวงช้าง (ศรีราชา),หญ้างวงช้างน้อย (พายัพ),กุนอกาโม (มลายูตานี) :ไต่บ๋วยเอี้ยว,เฉี่ยผี่เช่า,เงียวบ๋วยเช่า (จีน)

ลักษณะต้น

เป็นพืชล้มลุกเกิดตอนฤดูฝน ถึงหน้าแล้งตาย สูง 15-50 เซนติเมตร มีขนหยาบๆ ปกคลุมทั้งต้น

ใบ ออกสลับกัน ลักษณะทรงกลมรีหรือป้อมๆ ปลายใบแหลมสั้น กลางใบกว้างออก ฐานใบเรียวต่อลงมาถึงก้านใบ ตัวใบยาว 3-8 เซนติเมตร มีขน ผิวใบมีรอยย่นขรุขระ ขอบใบมีรอยหยักเป็นคลื่น ช่อดอกเกิดที่ยอดหรือซอกใบ ยาว 3-10 เซนติเมตร

ดอก เกิดอยู่ทางด้านบนด้านเดียว บานจากโคนไปปลายช่อดอก ปลายช่อโค้งงอคล้ายงวงช้างชูขึ้น กลีบเลี้ยงสีเขียว มี 5 กลีบ กลีบดอกสีฟ้าใกล้ขาวติดกันเป็นหลอด ที่ขอบมีรอยแยกตื้นๆ แบ่งเป็น 5 กลีบบานออกกลีบดอก ประมาณ 5 มิลลิเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 3-3.5 มิลลิเมตร มีเกสรตัวผู้ 5 อันติดอยู่ ด้านในมีก้านเกสรตัวเมีย 1 อัน รังไข่เป็นรูปจานแบนๆ ผลยาว 4-5 มิลลิเมตร เกิดจากการที่รังไข่ 2 อันรวมตัวติดกัน

มักพบตามที่ชื้นแฉะ เช่น ตามริมแม่น้ำ ลำคลอง หรือทางน้ำ แหล่งน้ำต่างๆ ท้องนาหรือตามที่รกร้างต่างๆ ตามวัดวาอารามทั่วๆ ไป และมีปลูกเก็บมาขายเป็นยาสดตามสวนยาจีนต่างๆ

การเก็บมาใช้

เก็บทั้งต้นที่เจริญเต็มที่ มีดอก ล้างให้สะอาด ใช้สดหรือตากแห้ง เก็บเอาไว้ใช้ก็ได้

สรรพคุณ

ทั้งต้น รสขมสุขุม ใช้เป็นยาเย็น แก้กระหายน้ำ ดับร้อนใน ขับปัสสาวะ แก้บวม แก้พิษปอดอักเสบ มีหนองในช่องหุ้มปอด เจ็บคอ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ เด็กตกใจในเวลากลางคืนบ่อยๆ ปากเปื่อย แผลบวม มีหนอง และแก้ตาฟาง




กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

หญ้าคา

ชื่อวิทยาศาสตร์ Imperata cylindrical Beauv.

วงศ์ Gramineae

ลักษณะของพืช

หญ้าคาเป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่ง ขึ้นอยู่ได้นานหลายปี
ดอกมีก้านยาวสีขาวเป็นมัน ขึ้นเป็นวัชพืช เห็นพบอยู่ทั่วไป

การปลูก

ปลูกโดยการใช้เมล็ดหรือไหล ปลูกง่ายมาก ไม่ต้องมี
การบำรุงรักษาแต่อย่างไร ไม่มีการส่งเสริมให้ปลูกกันเลย

ส่วนที่ใช้เป็นยา
รากสดหรือแห้ง

รสและสรพรคุณยาไทย
รสจืดแก้ร้อนใน กระหายน้ำ เป็นยาขับปัสสาวะ

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
จากการวิเคราะห็พบว่า หญ้าคามี Arundoin, Cylimdrin,
กรดอินทรีย์ น้ำตาล ไม่มีพิษเฉียบพลัน และไม่มีการวิจัยด้านอื่น
จากวารสารมีรายงานว่า ในประเทศจีน-อินโดนีเซีย ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ

วิธีใช้
ใช้รากสดหรือรากหญ้าแห้ง แก้อาการขับเบา ใช้วันละ
1 กำมือ(สดหนัก 40-50 กรัม แห้ง 10-15 กรัม)หั่นเป็นชิ้นๆ ก่อน ต้มกับน้ำรับประทานวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร)




กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

หญ้าไข่เหา

ชื่อพื้นบ้านอีสาน หญ้าไข่เหา, นกเขา, สร้อยนกเขา

ชื่อทั่วไป หญ้าไข่เหา

ชื่อวิทยาศาสตร์ Mollugo pentaphylla Linn.

วงศ์ Aizoaceae


ชื่อสามัญ หญ้าไข่เหา ( ลำปาง )

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์และเกษตร เป็นพืชค้างปี (annual) พบขึ้นอยู่ตามชายป่า ใต้ที่ร่มและชุ่มชื้น มีกิ่งแขนงแตกออกจากซอกใบจำนวนมาก ลำต้นทอดเลื้อยปลายยอดตั้งชันขึ้น (ascending) ความสูงของต้น 71.28- 145.18 เซนติเมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 3.95- 7.67 มิลลิเมตร ลำต้นกลมและค่อนข้างเหนียว สีเขียวเข้มผิวมัน มีขนสีขาวยาวประมาณ 2 มิลลิเมตรปกคลุมจำนวนมาก ข้อ (node) สีเขียวมีขนสีขาวคลุมรอบๆหนาแน่น ลักษณะของข้อพองออกเล็กน้อย ข้อที่แตะดินไม่มีรากงอก ใบเป็นแบบรูปใบหอก (lanceolate) โคนใบมน แผ่นใบกว้าง ปลายใบเรียวแหลม (acuminate) ใบยาว 23.29- 27.43 เซนติเมตร กว้าง 1.62- 1.96 เซนติเมตร เส้นกลางใบ (mid rib) ด้านหน้าใบจากโคนใบถึงกลางใบเป็นร่องเห็นชัดเจน ด้านหลังใบเป็นสันเล็กค่อนข้างแข็ง สีใบเขียวเข้ม ผิวใบค่อนข้างหนาและนุ่ม มีขนสีขาวยาวประมาณ 2 มิลลิเมตรปกคลุมหนาแน่น ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อยถี่ (serrulate) กาบใบ (sheath) สีเขียวเข้มมีขนคลุมจำนวนมาก บริเวณขอบกาบใบมีขนยาว 3-4 มิลลิเมตรขึ้นอยู่จำนวนมาก กาบใบกลมหุ้มลำต้น ความยาวกาบใบ 5.66- 7.66 เซนติเมตร ลิ้นใบ (ligule) เป็นแผ่นเยื่อขอบลุ่ยเป็นเส้นๆ (membranous frayed) ยอดอ่อนโผล่แบบม้วน (rolled in bud) ออกดอกช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน ช่อดอกออกที่ปลายยอดแบบช่อแยกแขนง (panicle) ช่อดอกมีช่อดอกย่อยจำนวนมาก กลุ่มดอกดกหนาแน่น ช่อดอกสดสีเขียวอมเหลืองอ่อนมีน้ำเหนียวจับจะติดมือ ช่อดอก (inflorescence) ยาว 21.0- 35.3 เซนติเมตร ส่วน Head ยาว 19.5- 26.5 เซนติเมตร ช่อดอกย่อยยาว 7.13- 11.53 เซนติเมตร กลุ่มดอกย่อย (spikelet) เกาะกันอยู่เป็นคู่ๆ มีก้านดอกยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร กลุ่มดอกย่อยรูปรี ยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร มีกาบหุ้ม (glume) บนยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร glume ล่างยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร glume บนมีดอก (floret) ที่มี lemma และ palea หุ้มเป็นดอกสมบูรณ์เพศ (fertile) floret ล่างเป็นดอกหมัน (sterile) ดอกแก่ร่วงทั้งชุด

แหล่งที่พบและเก็บรวบรวมพันธุ์ พบขึ้นอยู่ในที่ร่มเงาและชุ่มชื้น ริมหนองน้ำ ดินร่วน ร่วนปนเหนียว พื้นที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 124- 442 เมตร เช่นเขตพื้นที่ตำบลบ้านโป่ง อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ตำบลด่าน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล (PC 386, PC 585, SN 43 )

คุณค่าทางอาหาร อายุประมาณ 40 วัน มีค่า โปรตีน 12.90 เยื่อใยส่วน ADF 31.60 NDF 56.72 แคลเซียม 0.66 ฟอสฟอรัส 0.25 โปแตสเซียม 1.82 มิโมซีน 0.89 ไนเตรท 36.62 ppm. กรดออกซาลิค 0.82 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แทนนิน 0.50 เปอร์เซ็นต์
การใช้ประโยชน์ เป็นแหล่งอาหารสัตว์ตามธรรมชาติสำหรับแทะเล็มของ โค กระบือ ปลูกขึ้นปรับตัวได้ดีในสภาพดินเหนียวเนื้อละเอียดและดินเหนียวปนลูกรัง



กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

หญ้าเกล็ดหอย

ชื่อพื้นเมือง : หญ้าเกล็ดหอย (ภาคกลาง)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hydrocotyle sibthorpioides Lamk.

ชื่อวงศ์ : APIACEAE (UMBELLIFERAE)

ลักษณะ : ไม้ล้มลุก ทอดขนานกับพื้นดิน แตกแขนงมาก มีรากตามข้อ ยาว 10-50 ซม. ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ รูปไต หรือค่อนข้างกลม ขอบหยักมนตื้นๆ 5-7 หยัก แต่บางครั้งถึง 9 หยัก เส้นใบออกจากโคนใบ จำนวนเท่ากับหยักของแต่ละใบ ช่อดอกแบบช่อซี่ร่ม เป็นกระจุกแน่น ช่อละ 3-10 ดอก ออกตามง่ามใบ ดอกสีเขียวอ่อน เล็กมาก กลีบดอก 5 กลีบ เกสรเพศผู้ 5 อัน รังไข่มี 2 ช่อง แต่ละช่องมีออวุล 1 เม็ด ยอดเกสรเพศเมียมี 2 อัน ผลกลมแบน เส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 มม. เมล็ดเล็กมาก

ประโยชน์ : เป็นพืชสมุนไพร ใช้ห้ามเลือดแผลสดโดยเฉพาะแผลที่ถูกปลิงและทากดูด ใช้เป็นยาแก้ไอสำหรับเด็ก แต่ถ้าใช้มากเกินไปอาจทำให้อาเจียน และยังใช้แก้โรคผิวหนังได้ด้วย






กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

หญ้าเกล็ดปลา

หญ้าเกล็ดปลา

ชื่ออื่น ๆ : หญ้าเกล็ดปลา (ภาคกลาง) , ก้วยกังติ้ง, ไตหยี่หนึ่งจี้ (จีน)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lippia nodiflora Rich

วงศ์ : VERBENACEAE

ลักษณะทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้เลื้อย ปกคลุมดิน ลำต้นยาว ประมาณ 0.5-3 ฟุต ลำต้นมีขนสั้นนุ่มขึ้น และเป็นข้อมีรากออกมายึดเกาะดิน

ใบ : ใบมีลักษณะปลายมน เนื้อใบค่อนข้างหนา ริมขอบใบหยัก เป็นแบบฟันปลา ตั้งแต่ปลายใบจนถึงกลางใบ ฐานใบเล็กเรียว ใบมีขนาดยาวประมาณ 0.5-1 นิ้ว

ดอก : ดอกออกเป็นช่อ ตามบริเวณง่ามใบ ช่อหนึ่งมีดอกย่อยติดกันแน่น เป็นรูปทรงกระบอกมีขนาดยาวประมาณ
1-2 ซม. ลักษณะของดอกย่อย มีกลีบดอกเล็ก และกลีบเลี้ยง 2 กลีบ กลีบดอกมีสีม่วงแดงอ่อน โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดแคบ ๆ ส่วนประกอบแยกออกลักษณะคล้ายปาก และภายในหลอดดอกมีเกสรตัวผู้ 4 อัน ติดอยู่

ผล : ผลมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 มม. ผลมีกลีบเลื้ยงหุ้มอยู่ ผลเมื่อแก่เต็มที่ก็จะแยกออกจากกันเป็นเมล็ดแข็งมี 2 เม็ด

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นเอง ที่มีดินปนทราย ชอบที่มีอากาศชื้น ทนต่อแสงแดดจัดได้ดี ขยายพันธ์ด้วยเมล็ด

ส่วนที่ใช้ : ทั้งลำต้น

สรรพคุณ : ลำต้น ใช้ลำต้นแห้ง ประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มเอากินเป็นยาที่ใช้ ขับปัสสาวะ ปัสสาวะเป็นเลือด ไอเป็นเลือด หรือใช้ภายนอกนำมาต้มเอากาก ใช้พอกบริเวณที่เป็นแผลเน่าเปื่อยเรื้อรัง แผลมีหนอง แผลฟกช้ำเป็นต้น

ข้อห้ามใช้ : หญิงมีครรภ์ ห้ามใช้รับประทาน

อื่น ๆ : ในอียิปต์ นิยมปลูกหญ้าเกล็ดปลาไว้ปกคลุมดินตามบริเวณริมแม่น้ำลำคลอง น้ำชลประทาน เพื่อช่วยในการยึดดินไม่ให้พังทะลาย หรือถูกน้ำกัดเซาะ




กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

หญ้ากกดอกขาว

ชื่อสมุนไพรอื่น ๆ : หญ้าหัวโม่ง (สุราษฏร์ธานี) , จุยโงวซัง (จีน-แต้จิ๋ว)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Kyllinga brevifolia Rottb.

วงศ์ : CYPERACEAE

ลักษณะทั่วไปของสมุนไพร


ต้น : เป็นพรรณไม้ประเภทเดียวกับหญ้า ลำต้นเป็นเส้นเล็กยาว มีลักษณะเป็นเหลี่ยม ผิวเรียบ มีสีเขียว ลำต้นมีความสูงประมาณ 4-20 นิ้ว ลำต้นมีรากมาก เมื่อขยี้ดม มีกลิ่นหอม

ใบ : ใบมีลักษณะเป็นเส้น ยาวแคบ ปลายใบแหลม โคนใบเป็นสีม่วง ขนาดของใบกว้างประมาณ 1.5-3 มม. ยาวประมาณ 1-4 นิ้ว

ดอก : ดอกออกเป็นช่อ มีรูปทรงกลม ติดกันเป็นกลุ่มแน่น สีเขียวออกขาว ยาวประมาณ 4-8 มม. ดอกออกบริเวณปลายยอด โคนดอกมีกลีบรองช่อดอก 3 กลีบ มีลักษณะคล้ายใบยาวประมาณ 1.6-5 นิ้ว ดอกเมื่อแก่เต็มที่จะหลุดล่วงไป

ผล : ผลมีลักษณะค่อนข้างแบน กลมรี

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นเอง ตามบริเวณที่ชื่นแฉะทั่วไป ขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด

ส่วนที่ใช้ : ทั้งลำต้น และเหง้า

สรรพคุณของสมุนไพร : ทั้งลำต้นและเหง้า ใช้แห้งประมาณ 12-18 กรัม (สดประมาณ 30-60 กรัม) นำมาต้ม หรือคั้นเอาน้ำกินเป็นยาแก้โรคบิด ถ่ายเป็นมูกเลือด แก้ไข้ ไอ เจ็บคอ หลอดลมอักเสบ ไอกรน ไข้มาลาเรีย ปวดข้อ ปวดกระดูก โรคดีซ่าน ตับอักเสบ อืดแน่นท้อง ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ หรือใช้ภายนอก นำมาต้มเอาน้ำ หรือตำพอกบริเวณแผลมีหนองบวมอักเสบ แผลเจ็บจากการหกล้ม ผิวหนังเป็นผลผื่นคัน แผลมัดบาด กระดูกหัก และพิษงูกัด เป็นต้น

ข้อมูลทางคลีนิค : 1. จากผู้ป่วยที่มีอาการปัสสาวะขุ่นขาว คล้ายน้ำนม จำนวน 100 คน มีการรักษาด้วยการใช้เหง้าแห้ง และเนื้อผลลำไยแห้ง ในปริมาณเท่ากัน อย่างละ 60 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกินติดต่อกันนาน 15 วัน ผลปรากฏว่าคนไข้มีอาการดีขึ้น

2. จากคนป่วยที่เป็นโรคบิดแบคทีเรียจำนวน 70 คน ได้ให้มีการรักษาโดยการใช้ทั้งลำต้นสด และเถาเครือเขาปูนสด ใช้ในปริมาณที่เท่ากัน อย่างละ 30 กรัม ต้มเอาน้ำแบ่งกินเป็น 2 ครั้ง ให้กินติดต่อกันนาน 1 สัปดาห์ ผลปรากฏว่า มีผู้ป่วยมีอาการหายขาดเลย 45 คน อาการดีขึ้น 14 คน ไม่ได้ผลเลย 2 คน



กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552

แอสเตอร์

ชื่ออื่น ๆ : ฮังนังเก๊ก (จีน)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Callisterphus chinensis (Linn.) Nees.

วงศ์ : COMPOSITAE

ลักษณะทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก ที่มีอายุเพียงปีเดียว จะแตกกิ่งก้านสาขามากมาย ลำต้นสูงประมาณ 8-24 นิ้ว

ใบ : เป็นไม้ใบเดี่ยว ลักษณะเป็นรูปไข่ ปลายแหลม โคนใบสอบแคบติดกับก้านใบเลย ขอบใบจัก หรือบางทีมองดูก็คล้ายกับรูปช้อน ขนาดของใบกว้างประมาณ 1-1.5 นิ้วยาว 1.5-2.5 นิ้วมีสีเขียว ที่ก้านใบจะมีปีกแคบ ๆ ติดอยู่

ดอก : ออกเป็นเป็นดอกเดี่ยว อยู่ตรงส่วนยอดของต้น ดอกมีสีม่วง สีชมพู สีขาว ลักษณะของดอกจะเป็นวงกลม
กลีบดอกจะเรียงซ้อนกัน วงในกลีบจะเล็กกว่ากลีบด้านนอก ดอกบานเต็มที่ประมาณ 1.5-3 นิ้ว

ผล : เป็นรูปไข่กลับ แห้ง มีระยางค์ 2 แถว

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ขึ้นได้ดีและสวยงาม ในดินที่ร่วนซุย และมีความชื้นปานกลาง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

ส่วนที่ใช้ : ราก

สรรพคุณ : ราก นำมาต้มน้ำแล้วใส่หมู ต้มซุปกินเป็นยาบำรุง หรือแก้อาการอ่อนเพลีย

ถิ่นที่อยู่ : เป็นพืชพื้นเมืองของญี่ปุ่น และจีน



กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

แอปเปิ้ล

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์

อาณาจักร Plantae

ส่วน Magnoliophyta

ชั้น Magnoliopsida

อันดับ Rosales

วงศ์ Rosaceae

วงศ์ย่อย Maloideae

สกุล Malus

สปีชีส์ M. domestica

ชื่อวิทยาศาสตร์ Malus domestica Borkh.


ลักษณะทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้น ผลัดใบ กิ่งก้านอ่อนจะมีขนนุ่มปกคลุมอยู่ ลำต้นมีความสูงประมาณ 15 เมตร

ใบ : จะมีลักษณะโต หรือยาวรี ตรงปลายใบจะแหลม ขอบใบมีรอยหยักคล้ายฟันเลื่อย ใบจะมีความยาวประมาณ
4.5-10 ซม. กว้างประมาณ 3.-5.5 ซม. ส่วนใบอ่อนนั้นจะมีขนอ่อนนุ่มสั้น ๆ ปกคลุมอยู่ทั้ง 2 ด้าน และก้านใบจะมีความยาวประมาณ 1.5-3 ซม.

ผล : จะมีลักษณะเป็นทรงกลมออกจะแบนเล็กน้อย ผลโตวัดผ่ากลางได้ประมาณ 7 ซม. ส่วนตรงขั้ว และก้นของผลนั้นจะเป็นรอยบุ๋มเข้า

การขยายพันธุ์ : โดยการตอนกิ่ง

ส่วนที่ใช้ : ใบ ผล เปลือกผล ใช้เป็นยา

สรรพคุณ : ใบ ใช้สดประมาณ 3-10 กรัม ใช้ต้มน้ำกิน หรือใช้ภายนอกโดยการตำพอก ใช้ต้มกินรักษาเลือดคั่งค้างหลังคลอดรักษาอาการไข้ ขับน้ำคาวปลา รักษาแผลจากไฟใช้ใบเผาจนเป็นเถ้า ผสมน้ำมันพืชทา

ผล ใช้สดปริมาณพอสมควร คั้นเอาแต่น้ำกิน หรือใช้เคี่ยวให้ข้นกิน ส่วนภายนอกนั้นใช้คั้นเอาแต่น้ำถูทา ผลนั้นจะมีรสหวาน ชุ่ม และเย็น ใช้เป็นยารักษาอาการท้องผูกเป็นประจำ นอนไม่ค่อยหลับ และรักษาโรคเกี่ยวกับตับ รักษาโลหิตจาง บำรุงร่างกายทารก บำรุงปอด ทำให้เจริญอาหาร รักษาพิษสุรา บรรเทาอาการกระหายน้ำ ร้อนกระวนกระวาย จุกเสียด อึดแน่นหลังกินอาหาร ช่วยกระตุ้นน้ำลาย ใช้ทารักษาผิวหนังเป็นผื่นแดงเรื้อรัง

เปลือกผล ใช้สดประมาณ 1.5-3 กรัม ใช้ต้มน้ำกิน หรือชงน้ำกิน แบบน้ำชา ใช้บรรเทาอาการอืด แน่น เรอ อาเจียนมีแต่น้ำลายเป็นฟอง

ข้อห้ามใช้ : สำหรับผลนั้น ถ้ากินมากเกินไห จะทำให้เกิดอาการอืดแน่น โดยเฉพาะในคนไข้ที่นอนป่วยอยู่

อื่น ๆ : ผลนั้นจะมีคาร์โบไฮเดรตที่ละลายน้ำเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยน้ำตาลในปริมาณมากหรือน้อยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของแอปเปิล มี sucrose ประมาณ 5% invert sugars 6-9% ส่วนผลดิบนั้นจะมีแป้งมาก และปริมาณแป้งจะลดน้อยลงก็ต่อเมื่อผลนั้นสุก จะมีกรดประมาณ0.5% และกลิ่นหอมของแอปเปิลนั้นจะเป็นพวกแอลกอฮอล์ประมาณ 92. และสารที่มี carbonyl ประมาณ 6% และ esters และกรด ส่วนเปลือกผลนั้น ก็จะมีสารมีสีได้แก่ cyaniding และใบนั้นก็จะมีสาร phoretin (w-p-hydroxyphenyl propiophenone)

ถิ่นที่อยู่ : พรรณไม้นี้ เป็นพรรณไม้ที่ขึ้นทั่วไป ในเขตอบอุ่นในบ้านเรามักมีปลูกกันตามภูเขาสูง ที่มีอากาศค่อนข้างเย็น เช่น ดอยอ่างขาง

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา : ยาฉีดที่ได้เตรียมมาจากผลแอปเปิลที่เอา gum ออกแล้ว ฉีดเข้าหลอดเลือดดำของกระต่ายบ้าน จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ส่วนฤทธิ์ในการขับปัสสาวะสูงกว่า ที่ให้กลูโคส 2-3 เท่า และนอกจากนี้ยังสามารถทำให้ลำไส้เล็กของกระต่ายที่แยกจากตัวบีบตัวผิดปรกติ ไป

หมายเหตุ : ผลแอปเปิลที่เน่าใช้เป็นยาพอก รักษาอาการตาเจ็บ และผลต้มจนเละใช้กิน รักษาอาการเจ็บคอ มีไข้ บริเวณตาอักเสบไฟลามทุ่ง และใช้เป็นยาระบาย ส่วนยาต้มจากเปลือกต้นใช้รักษาโรคไข้จับสั่น โดยน้ำในผลและความแข็งของเนื้อผลจะช่วยนวดเหงือก ทำให้เหงือสะอาดขึ้น และช่วยกำจัดคราบหินปูนอีกด้วย

แอปเปิ้ลผลขนาดกลางเพียง 1 ผล ล้างให้สะอาดโดยไม่ปอกเปลือก มีคุณค่าทางโภชนาการโดยประมาณดังนี้
- พลังงาน 80 แคลอรี
- วิตามิน บี6 0.1 กรัม
- วิตามิน ซี 7.9 มิลลิกรัม
- เหล็ก 0.2 มิลลิกรัม
- ทองแดง 0.1 มิลลิกรัม
- โพแทสเซียม 158.7 มิลลิกรัม
แต่ถ้าปอกเปลือกปริมาณสารสำคัญจะลดลง
บทความในวารสารการแพทย์สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2470 เคยยกย่องว่า แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยภาวะเลือดเป็นกรด ไขข้อรูมาติก เกาต์ ดีซ่าน และอื่นๆ

แอปเปิ้ลมีสารสำคัญบางตัว เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ที่ชื่อว่า เพคติน และยังมีกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน

ปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส เป็นต้น

แอปเปิ้ลช่วยควบคุมน้ำหนัก
หากคุณรู้สึกหิวในเวลาที่มิใช่มื้ออาหาร แอปเปิ้ลสักลูกช่วยลดความหิวได้ดีค่ะ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาลถึง 75% ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทำให้ไม่รู้สึกหงุดหงิด อ่อนเพลียระหว่างเวลาอาหารมื้อใหญ่ๆ

ประโยชน์ของแอปเปิ้ลข้อนี้ สาวๆ สามารถนำไปเป็นเทคนิคควบคุมน้ำหนักอย่างง่ายๆ เวลาที่ต้องไปงานเลี้ยง คือเมื่อเริ่มตักอาหาร ให้ตักผลไม้ก่อน เลือกแอปเปิ้ล ส้ม หรือผลไม้ที่มีกากใยมากๆ รับประทานรองท้องแทนอาหารออเดิร์ฟ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที น้ำตาลผลไม้โมเลกุลเดี่ยวจะถูกดูดซึม ทำให้ความอยากอาหารลดลง คุณจึงรับประทานอาหารคาวได้น้อยลง แต่รู้สึกอิ่มได้ดีกว่าอาหารจำพวกแป้งหรือน้ำตาลอื่นๆ

จากการทดลองพบว่า แอปเปิ้ลผลสดๆ เท่านั้นที่มีสรรพคุณเช่นนี้ การดื่มน้ำแอปเปิ้ลไม่ทำให้คุณหายหิว แถมจะทำให้น้ำหนักของคุณเพิ่มขึ้นด้วย

แอปเปิ้ลช่วยลดคอเลสเตอรอล
แอปเปิ้ล 2-3 ผลต่อวัน ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่พบว่าแอปเปิ้ลลดคอเลสเตอรอลในผู้หญิงได้ดีกว่าผู้ชาย

นักวิทยาศาสตร์ในหลายประเทศ เช่น อิตาลี ไอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ได้รายงานผลการวิจัยตรงกันว่า แอปเปิ้ลมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลได้

คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยพอลซาบาทิเอร์ เมืองตูลูส พบว่า แอปเปิ้ลช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ในหนูทดลอง ต่อมาได้มีการทดลองในอาสาสมัครวัยกลางคน ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย จำนวน 30 คน โดยให้รับประทานอาหารเหมือนเดิมทุกประการ แต่รับประทานแอปเปิ้ลร่วมด้วยวันละ 3 ผลทุกวัน เป็นเวลา 1 เดือน พบว่าอาสาสมัครจำนวน 24 คนมีปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดลดลง บางคนลดลงมากกว่า 10%

แอปเปิ้ลมีสารเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ การวิจัยบ่งชี้ว่า เมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมัน แยกคอเลสเตอรอลออกมาแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ลจะไปคอยดักจับคอเลสเตอรอลเหล่านั้น และนำไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง

แอปเปิ้ลช่วยลดน้ำตาลในเลือด
แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำตาลในเลือด เมื่อรับประทานอาหารเข้าไป อาหารแต่ละชนิดจะถูกย่อยสลายและดูดซึมผ่านผนังกระเพาะลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะเพิ่มช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของอาหารนั้นๆ เช่น ถ้ารับประทานน้ำผึ้ง น้ำตาลในเลือดจะขึ้นฮวบฮาบทันที แต่สำหรับแอปเปิ้ล ถึงแม้จะมีน้ำตาลธรรมชาติในเนื้อแอปเปิ้ลมาก แต่ก็ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เท่านั้น เช่นเดียวกับอาหารจำพวกถั่ว

นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่า คนที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์มากๆ จะมีโอกาสเกิดเบาหวานต่ำกว่าคนที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์น้อย และสำหรับคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไฟเบอร์จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย แอปเปิ้ลมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำสูงมาก จึงเหมาะสำหรับคนที่เป็นเบาหวาน

ผลการทดลองยังพบด้วยว่าคนที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์มาก จะเกิดอาการความดันโลหิตสูงได้ยากกว่าคนที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์น้อย




กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

เอื้องหมายนา

ชื่อ เอื้องหมายนา

ชื่ออื่น เอื้องใหญ่ เอื้องดิน เอื้องต้น เอื้องเพ็ดม้า เอื้องช้าง ซู้ไลบ้อง ซูเลโบ

ชื่อวิทยาศาสตร์ Costus speciosus Smith

วงศ์ COSTACEAE

ชื่อสามัญ Crape Ginger , Spiral Flag

แหล่งที่พบ พบทุกภาคของประเทศไทย

ประเภทไม้ หัว

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ต้น ไม้หัวลำต้นกลมอุ้มน้ำ เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 ซม. โคนต้นแข็ง

ใบ ออกเรียงกันเป็นเกลียวคล้ายก้นหอยรอบต้น ใบหอกรูปแหลม โคนใบสอบเรียวยาวมน โคนใบมีขนและมีส่วนหุ้มรอบต้น ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบสีเขียว

ดอก ดอกสีขาวปากแตร ขอบใบหยักเป็นคลื่น ออกเป็นช่อแน่นที่ปลายยอด มีกลีบเลี้ยงอยู่ 3 กลีบ เป็นแผ่นใบแบน ขอบมนสีแดงยาวประมาณ 3-5 ซม. กลีบดอกจะติดเป็นหลอด ส่วนปลายจะแยกเป็นกลีบสีขาวออกแดงเล็กน้อย
ผล ลักษณะกลมมีเนื้อแข็งสีแดง มีกลีบเลี้ยงเหลือติดอยู่ที่ผล ภายในเมล็ดเป็นสีดำเป็นมัน

ส่วนที่ใช้บริโภค หน่ออ่อน

การขยายพันธุ์ แยกหน่อ เมล็ด

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ชอบขึ้นบริเวณที่ชุ่มชื้นใต้ต้นไม้ใหญ่ ริมน้ำหรือริมบึงเชิงเขา

ฤดูกาลที่ใช้ประโยชน์ ตลอดทั้งปี

คุณค่าทางอาหาร ยังไม่มีข้อมูล


การปรุงอาหาร หน่ออ่อน ต้มรับประทานเป็นผักร่วมกับน้ำพริก หรือนำไปปรุงอาหาร เช่น แกงส้ม แกงเลียง


ข้อควรระวัง เหง้าสดมีพิษมากถ้าใช้ปริมาณมากจะทำให้ท้องร่วง อาเจียนอย่างแรงต้องทำให้สุก




กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

อุตพิต

อุตพิต

ชื่ออื่น ๆ : มะโหรา (จันทบุรี) , บอนแก้ว (เชียงใหม่)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Typhonium trilobatum Schott.

วงศ์ : ARACEAE

ลักษณะทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก มีหัวอยู่ใต้ดิน หัวจะเล็กเป็นรูปเกือบจะกลม วัดผ่าศูนย์กลางได้ประมาณ 1.2 ซม.

ใบ : จะมีลักษณะเป็นแฉกกลางรูปไข่ปลายแหลม ใบเป็นสีเขียวมีลาย หรือจุดประสีม่วง ก้านใบมีความยาวประมาณ
37.5 ซม. ใบจะเป็นหยัก 3 แฉก มีความกว้างและยาวประมาณ 25-30 ซม.

ดอก : จะออกเป็นช่อ เป็นแท่งยาว ช่อดอกมีกาบหุ้มยาวประมาณ 23 ซม. กาบจะกว้างประมาณ 7.5 ซม. ก้านช่อดอกจะเป็นสีเลือดนกปนน้ำตาล หรือสีแดงเข้ม ดอกเพศเมียจะอยู่ตรงโคนแท่ง เหนืออกเพศเมียจะเป็นดอกฝ่อ เป็นสีขาวถัดไปเป็นที่ว่าง เหนือที่ว่างนั้นจะเป็นดอกเพศผู้
เป็นสีชมพู เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีกลิ่นเหม็น

ผล : ผลสดจะมีลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ภายในจะมีเมล็ดอยู่

การขยายพันธุ์ : โดยการแยกหน่อ

ส่วนที่ใช้ : หัว กาบ ก้านใบ และราก ใช้เป็นยา

สรรพคุณ : หัว ใช้เป็นยากัดเถาดานในท้อง กัดฝ้าหนองสมานแผลหรือใช้หุงเป็นน้ำมันใส่แผล และใช้ปิ้งไฟใช้กินได้

กาบ นำไปหั่นให้ละเอียด ใช้ดองกินเป็นอาหารผักได้

ก้านใบ ลอกเปลือกออกใช้แกงส้มแบบเดียวกับแกงบอนได้

ราก จะมีฤทธิ์เป็นยากระตุ้น รักษาโรคริดสีดวงทวาร ใช้กินกับกล้วยรักษาโรคปวดท้อง หรือใช้ทาภายนอกและกินรักษาพิษงูกัดได้

ถิ่นที่อยู่ : พรรณไม้นี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อน ของทวีปเอเชีย มักพบขึ้นทั่ว ๆ ไป ตามที่ร่มเย็น




กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

หงอนไก่

หงอนไก่

ชื่ออื่น ๆ : ดอกด้าย (ภาคเหนือ), หงอนไก่ดอกกลม , หงอนไก่ฟ้า (ภาคกลาง) , พอคอที (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), หงอนไก่ดง (นครสวรรค์) , แชเสี่ยง (จีนแต้จิ๋ว)

ชื่อสามัญ : Will Cockcomb, Cockcomb

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Celosia argentea Linn. (C.argentea L. var, cristata Ktze).

วงศ์ : AMARANTHACEAE

ลักษณะ ทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้พุ่มขนาดเล็ก แตกกิ่งก้านสาไม่มากนัก และไม่มีแก่นด้าย ลำต้นมีความสูงประมาณ 20 นิ้ว หงอนไก่นั้น เป็นพรรณไม้ที่กลายพรรณได้ง่าย เพราะฉะนั้นลำต้นบางต้นจึงมักไม่เป็นสีเขียวเสมอไป อาจจะเป็นสีแดง เขียว เขียวอ่อน ขาว ซึ่งก็แล้วแต่พรรณของต้นนั้น ๆ

ใบ : เป็นไม้ใบเดี่ยว จะออกรวมกันเป็นกลุ่มตามข้อลำต้น ใบมีสีเขียว จะเป็นรูปทรงมนรี ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ริมขอบใบเรียบไม่มีหยัก ใบยาวประมาณ 8-10 ซม.

ดอก : ดอกจริง ๆ ของหงอนไก่นั้น มีขนาดเล็กเป็นละอองแต่จะออกติดกันแน่น เป็นช่อใหญ่ และจะใหญ่ประมาณ 2-4 นิ้ว ลักษณะของช่อดอกนั้นจะบิดจีบม้วนไปมาอยู่ในช่อ ซึ่งจะคล้ายกับหงอนไก่ ดอกของหงอนไก่มีอยู่หลายสีเช่นสีแดง สีชมพู สีขาว สีเหลือง ฯลฯ และบางทีก็มีการผสมให้มีหลายสีในช่อเดียวกัน

ผล : ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงกลม ข้างในผลมีเมล็ด อยู่หลายเม็ดลักษณะของเมล็ด เป็นรูปกลมแบน เปลือกนอกเป็นสีดำแข็ง เป็นมัน

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ที่ชอบแสงแดดจัด ขึ้นง่ายเจริญงอกงามเร็ว ปลูกขึ้นดีในดินที่ร่วนซุย
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด

ส่วนที่ใช้ : ลำต้น, ก้านและใบ, ดอก, เมล็ด ราก

สรรพคุณ : ลำต้น ใช้ลำต้นสด นำมาต้มเอาน้ำกิน เป็นยาแก้โรคท้องเสีย อาเจียนเป็นเลือด ริดสีดวงทวารมีเลือดออก กระอักเลือด ตกเลือด หรือใช้ลำต้นที่อ่อนตำให้ละเอียดใช้พอกแก้ตะขาบกัด เป็นต้น

ก้านและ ใบ ใช้ก้านและใบสดประมาณ 30-60 กรัม นำมาต้ม หรือคั้นเอาน้ำกินเป็นยาระบาย แก้ริดสีดวงทวารมีเลือดออก อาเจียนเป็นเลือด กระอักเลือด ตกเลือด และเป็นโรคบิด หรือใช้ตำพอก บาดแผลมีเลือดออก ผิวหนังเป็นผดผื่นคัน เป็นต้น

ดอก ใช้ดอกสดประมาณ 30-60 กรัม (แห้งประมาณ 15-30 กรัม) นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้บิด ถ่ายเป็นมูกเลือด ไอ หรืออาเจียนเป็นเลือด เลือดไหลไม่หยุด ประจำเดือนมามากผิดปกติ เลือดกำเดาออก ตกเลือด ตกขาว ปวดหัว เป็นผดผื่นคัน เยื่อตาอักเสบ และเป็นโรคตาแดง
เป็นต้น

เมล็ด ใช้เมล็ดแห้งประมาณ 4.5-9 กรัม นำมาต้มน้ำหรือใช้ทำเป็นยาเม็ดกินเป็นยาแก้ความดันโลหิตสูง ตาฟางในเวลากลางคืน แก้อุจจาระเป็นเลือด บิดถ่ายเป็นมูกเลือด เลือดกำเดาออก ห้ามเลือด และผิวหนังเป็นผดผื่นคันอักเสบร้อนแดง เป็นต้น

ข้อห้ามใช้ : หญิง ที่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือนไม่ควรรับประทาน

ตำรับ ยา (สัตว์) : 1. สัตว์ปวดท้องหลังคลอดลูก ให้ใช้ดอกหงอนไก่ (C. argentea L. Var. cristata Kize) สีขาวแห้งประมาณ 60 กรัม ใบสนแผงแห้ง ประมาณ 120 กรัม กัญชาเทศแห้ง ประมาณ 60-120 กรัม นำมาบดให้ละเอียดแล้วผสมสุรา ให้กิน

2. วัวและม้า ที่มีเลือดกำเดาออก ให้ใช้ดอกหงอนไก่สดประมาณ 3-4 ช่อ ดอกทานตะวัน ประมาณ 2-3 ดอก รากหญ้าคา ประมาณ 60-100 กรัม นำมาต้มผสมนำตาลทรายประมาณ 120 กรัม เอาน้ำให้กิน

3. วัวและม้า ที่ถ่ายเป็นเลือด ให้ใช้ดอกหงอนไก่สีขาวแห้ง ประมาณ 120 กรัม ดินสุกเป็นก้อนที่อยู่ตามก้นเตาถ่าน ประมาณ 60 กรัม และเหล่งแหง่เช่า ประมาณ 30-60 กรัม นำมาบดรวมกันเป็นละเอียด แล้วใส่น้ำตาลทรายขาวประมาณ 120 กรัม ผสมให้กิน

ข้อมูลทางคลีนิค : จากผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่ในช่วง 160-120/100-135 มม. ปรอทรักษาด้วยการใช้เมล็ดที่แห้งประมาณ 30 ก. นำมาต้มสกัดเอาน้ำ 2 ครั้ง แล้วแบ่งเป็น
3 ครั้งต่อวันผลปรากฏว่า หลังจากที่ได้รับแล้ว 7 วัน ผู้ป่วยมีความดันลดลงเหลือยู่ในช่วง 125-145/70-90 มม. ปรอท

ข้อมูล ทางเภสัชวิทยา : สารที่สกัดจากเมล็ด และดอกนำมาทดลอง พบว่ามีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเจริญของเชื้อ Trichomonas vaginalis ได้ดี เชื้อชนิดนี้เมื่อถูกต้มด้วยความร้อนสูงนาน 5-10 นาที ก็จะตายไป




กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

อังกาบหนู

ชื่ออื่น ๆ : อังกาบหนู, เขี้ยวเนื้อ, เขี้ยวแก้ง (ภาคกลาง), อังกาบ (นครศรีธรรมราช), มันไก่ (ภาคเหนือ)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Barleria prionitis Linn.

วงศ์ : ACANTHACEAE

ลักษณะ ทั่วไป : ต้น : อังกาบหนูเป็นสมุนไพรไม้พุ่ม ที่มีกิ่งก้านแตกออกไปรอบ ๆ ต้น ตามข้อต้นหรือที่โคนต้นจะมีหนามแหลมยาวประมาณครึ่งเซนต์ อยู่ซึ่งมีสีเขียว ลำต้นสูงประมาณ 1 เมตร

ใบ : เป็นไม้ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ ไปตามข้อต้น ลักษณะของบเป็นรูปรี ปลายใบและโคนใบจะแหลม แต่ตรงกลางใบจะกว้าง ขอบใบเรียบไม่มีจัก มีสีเขียว ขนาดของใบกว้างประมาณ 0.5-1 นิ้วยาว 1.5-2 นิ้วมีก้านใบสั้นจะยาวรอบ ๆ ครึ่งเซนต์ได้

ดอก : เป็นไม้ดอกเดี่ยว และจะออกอยู่ตามข้อต้นลักษณะของดอกแยกออกเป็น 5 กลีบเท่า ๆ กัน มีสีเหลือง เกสรกลางดอกมี 4 อัน ใบประดับที่รองรับดอกอยู่จะเป็นหนามแหลม 1 คู่ กลีบรองกลีบดอกสีเขียว 5 กลีบยาว 0.5 นิ้วเช่นกัน

ผล : เป็นฝักมนรี โคนกว้างปลายจะแหลม โตประมาณ 0.8 ซม. ยาว 1.8-2 ซม.

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ที่เจริญงอกงามได้ดีในดินทุกชนิดโดยเฉพาะดินที่ร่วนซุย และมีความชื้นปานกลาง ขยายพันธ์ด้วยเมล็ด และตอน

ส่วนที่ใช้ : ใบ และราก ของอังกาบหนู

สรรพคุณ : ใบ ใช้แก้งูกัด เคี้ยวแก้ปวดฟัน หรือนำใบมาคั้นกิน แก้เป็นหวัด ช่วยลดไข้ แก้อัมพาต โรคปวดตามข้อ โรคคัน บวมใช้ทาแก้ปวดหลัง หรือผสมกับน้ำมะนาวแก้ขี้กลาก แก้ท้องผูก หรือใช้ผสมกับน้ำผึ้งรักษาเลือดออกตามไรฟัน ใช้หยอดหู แก้โรครูมาติซั่ม
ราก เป็นยาลดไข้ เมื่อเอารากมาผสมกับน้ำมะนาวแก้ขี้กลากแก้อาหารไม่ย่อย



กลับสู่ : หน้าหลัก พืชผัก พืชสมุนไพร
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...